หายใจเข้า เรารับรู้ความรู้สึกในหัวใจเราขณะนี้ หัวใจเรากำลังรู้สึกอย่างไร ภายในกำลังเป็นเช่นไร
หายใจออก กลับมารับรู้ความคาดหวังที่เรามีต่อตัวเอง เราอยากให้หัวใจดวงนี้เป็นเช่นใด ไม่อยากให้เป็นแบบไหน
วันหนึ่ง ขณะรับฟังมิตรผู้เกาะกุมความเศร้าจากความรักที่ไม่อาจเป็นจริง เธอรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นและควรทำอย่างไร แต่ไม่ต้องการให้หัวใจตนเองเศร้าเพียงนี้ ช่วงเวลาแห่งการเกาะกุมนานแสนนาน เธออยากทำใจได้เสียที
ผมแยกตัวออกมา มองด้วยสายตาผู้ให้คำปรึกษาอย่างรอบด้าน ก่อนถามว่า
“จำเป็นไหมต้องทำใจ”
เงียบชั่วขณะ เธอตอบว่าก็ไม่จำเป็นนะ ต้องอยู่กับเขาให้ได้ ค่อยดูแล ไม่บีบคั้นไม่คาดหวัง เชื่อว่าจะผ่านไปได้
หายใจเข้า เมื่อเราเห็นหัวใจเรากำลังเป็นทุกข์หรือร้อนรน เราพยายามทำเช่นใด วิธีการไหนที่เราใช้เป็นประจำเมื่อหัวใจเราอยู่ภาวะที่เราไม่ต้องการ
หายใจออก วิธีการเหล่านั้นช่วยดูแลหัวใจเรา หรือหลีกหนีไปจากเขา
อีกครั้งหนึ่ง ผมเพิ่งได้มีโอกาสทักทายครู ครูที่น่าชื่นชม เป็นผู้อุทิศตัวแก่การสอนและทนไม่ได้หากเห็นครูรุ่นใหม่ไม่เอาจริงเอาจังหรือขาดความรับผิดชอบ
ครูรู้สึกทนที่ตัวเองหงุดหงิดและวุ่นวายใจไม่ได้ ผมถามถึงเหตุการณ์ที่เจอในช่วงสัปดาห์ เธอเล่าถึงความลำบากในการทำงานกับครูด้วยกัน ความวุ่นวายในโรงเรียน ภาวะวัยทอง สภาพจิตใจของตนเองที่ไม่ชอบใจ ผมไม่ได้แนะนำสิ่งใดไปกว่าการสะท้อนความรู้สึกและภาวะที่เป็นด้วยถ้อยคำสั้นๆ อันชัดเจน ให้ครูเห็นเหมือนอยู่ตรงหน้า
มิได้ตำหนิว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ควรมีหรือไม่ดีอย่างไร แค่บอกว่ามันเป็นลักษณะอย่างไรและให้ครูพูดเสริมสิ่งที่ตนเองเห็น
แนะนำสั้นๆ เพียงว่า การรับผิดชอบ กับ การแบกรับ แตกต่างกัน ต้องแยกแยะให้ถูก ทั้งสองคำเจ้าตัวพูดเอง ครูฟังและถามซ้ำในคำที่สอง ก่อนขอบคุณและบอกว่ารู้เลย
ท่าทีเราเวลาเพื่อนเล่าเรื่องความทุกข์หรือความรู้สึกในหัวใจเป็นอย่างไร เราพูดอะไรกับเพื่อนของเรา บอกเขาหรือเธอว่าต้องรู้สึกแบบนั้น ต้องคิดแบบนี้หรือเปล่า
หายใจเข้า ท่าทีในการดูแลผู้อื่นก็สะท้อนท่าทีการดูแลหัวใจเรา
การทำใจ ในความหมายของเราทั่วไป มักเป็นความคาดหวังและความพยายามหลีกหนีสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหัวใจเรา เราไม่กล้ายอมรับและรักหัวใจเราแม้เขาจะมีช่วงเวลาที่เปราะบาง อ่อนไหว เศร้าหม่น ร้อนรน หรือวุ่นวาย เราต้องการความสบายใจ ความสุข ความมั่นคง และการดูแลตนเอง แต่เราพยายามเติมเต็มความต้องการนี้ด้วยการหนีจากหัวใจอย่างที่เป็นจริง เกาะกุมหลักการและความคาดหวัง พยายามทำใจเราให้กลายเป็นอื่น
เราอาจกล่าวโทษภาวะร่างกาย ตำหนิหัวใจ เบื้องลึกเบื้องหลังแฝงฝังความรู้สึกไม่พอใจในตนเอง
หายใจออก เช่นนี้แล้วเราไม่ได้โอบกอดหัวใจเรายามที่เขาต้องการใครสักคนเคียงข้าง เราอาจมองหัวใจเราเป็นสิ่งไร้ชีวิตหรือของชำรุดต้องซ่อมแซม เราต้องการความรัก แต่เราหลีกเลี่ยงที่จะรักตัวเองอย่างถ่องแท้
หัวใจก็เป็นเช่นโลก มีภูมิอากาศนานา บางคราวพายุฝนก็ทิ้งสายยาวนานกว่าแดดจะส่องแสง เรายิ่งหลบเร้นหรือหลีกหนีไปจากโลก ยิ่งพลาดโอกาสได้เรียนรู้และแห้งเฉาผอมโซในบ้านลำพัง บ้านคือกำแพงแห่งทิฐิและความกลัวที่เรากีดกันตัวเองไว้เพราะความรู้สึกกลัวไม่ปลอดภัย หากต้องออกไปเผชิญกับโลกลำพัง
ถามนกน้อยที่ข้างหน้าต่าง โลกนี้เลวร้ายหรือสดใสเพียงใด มีแต่สิ่งเลวร้ายที่ต้องสละทิ้ง หรือมีแง่งดงามในดวงตาเธอ
หายใจเข้า การทำใจควรเป็นการดูแลหัวใจ มิใช่การปล่อยปละหรือการปิดกั้น หรือการบีบคั้นด้วยความคาดหวัง
รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น โอบอุ้มด้วยเมตตา อยู่เคียงข้างเช่นเพื่อนที่ต้องการใครสักคนข้างกาย เขาอาจไม่ต้องการคำแนะนำสวยหรูใดใด เพียงการรับฟังและการสะท้อนให้เขาเห็นตัวเอง
หายใจออก ที่ผ่านมา เราดูแลใจอย่างไร เราอยู่เคียงข้างเช่นเพื่อนหรือผู้รับฟังที่ดี หรือพยายามสั่งสอนหรือเปลี่ยนแปลงเขาให้เป็นสิ่งอื่น
แบบชวนบันทึกฉบับนี้ ลองทบทวนการดูแลหัวใจของเรา ก่อนพักวางมือ หลับตาลง ใช้ใจสัมผัสใจ ถามหัวใจตนเองว่า ด้วยการดูแลและท่าทีของเราต่อเธอ เธอรู้สึกอย่างไร ได้รับการดูแลและรับฟังมากน้อยเพียงใด การดูแลตนเองด้วยวิธีการที่ผ่านมาทำให้เธอทุกข์หรือมีผลต่อชีวิตและคนใกล้ตัวอย่างไรบ้าง ถามหัวใจเรา ก่อนลืมตาให้มือนำทางการเขียน พาใจทบทวน
แม้ท้องฟ้ามัวหมองและอากาศมิได้กระจ่างใส เราก็ยังต้องหายใจเข้า ถึงหัวใจกำลังหวั่นไหว แทนที่เราจะบีบและปิดกั้น เพียงหายใจลงมา แม้มิอาจปล่อยวางหรือยอมรับสิ่งยากเข็ญใดใด เราก็ยังต้องหายใจออก เพียงหายใจออกไปสู่ที่ที่เขาพรากจาก
เราจะตั้งใจปรับเปลี่ยนท่าทีตนเองหรือดูแลใจเราต่อไปอย่างไร ให้คำสัญญาเหล่านั้นประทับไว้ในลมหายใจเข้าแล้วออก
ต่อไปนี้ ทุกลมหายใจเข้า เรากลับมาอยู่เคียงข้างหัวใจ แล้วทุกลมหายใจออก เรากำลังเดินเคียงข้างไปด้วยกัน
ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต
คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #5