“ได้รู้จักตัวเองชัดเจนขึ้น เป็นการทำให้เห็นภาพชัดว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองยึดถืออยู่ ได้เปิดมุมมองของคำว่าด้านมืด ว่าการหมกมุ่นกับคุณค่าบางอย่างก็เป็นด้านมืดได้เช่นกัน เรามองแต่ว่าเราคือความสว่างและความมืดคือขั้วตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นคือเรายึดในอัตตา คิดว่าเรานั้นดีแล้ว แท้จริงสิ่งที่เป็นอยู่ก็กำลังทำร้ายเราช้าๆ สะสมความเครียด ความเหนื่อยไปเรื่อยๆ
.
“คำถาม 6 ข้อในช่วงเริ่มกิจกรรมก็ทำให้ได้เห็นตัวเองอย่างตรงไปตรงมาจากคำตอบสั้นๆ แต่มีความเชื่อมโยงกัน เช่น ฉันชอบตัวเองที่ กล้าหาญ กล้าเผชิญ อดทน และสิ่งที่ไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง คือ ปากไว ใจร้อน ไม่ยอมรับความจริง เราพบขั้วตรงข้ามที่เกี่ยวข้องกันอยู่ ที่น่าสนใจมากคือข้อสุดท้าย สิ่งที่ฉันเป็นแต่ไม่ค่อยอยากพูดถึง ตอนเขียนมีการชะงัก ปวดหัวจี๊ดเหมือนไม่อยากยอมรับ แต่สุดท้ายก็เขียนลงไป โอ้ว มันตรง ชัดเจน และดาร์คมาก ได้เห็นด้านมืดของตัวเองชัดเจนจากข้อนี้
.
“การวาดระบายและเขียนถึงคุณค่าที่ยึดถือเชื่อมโยงกับอุปาทานที่เรายึดมากๆ เราวาดต้นไม้ใหญ่และภูเขา เรายึดอัตตามากๆ นอกจากนี้การเลือกการ์ดความรู้สึกความต้องการ และเขียนถึงเรื่องนี้ทำให้เราได้รับรู้สิ่งที่ลึกๆเราต้องการจริงๆ
.
“5 จังหวะชีวิตเหมือนเป็นหนทางให้เราสมดุลชีวิต การเติมจังหวะที่ขาดหรือลดจังหวะที่เกิน เป็นการแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตออกมาให้สัมผัสได้เป็นพลังงานและจังหวะในการเต้น หลายๆบทเรียนทำให้เรารู้แบบเนียนๆ เมื่อได้มานั่งทบทวนจะเห็นความเชื่อมโยงและสะท้อนตัวเองได้มากขึ้น
.
“พ่อแม่ภายใน เป็นอีกบทเรียนที่สะท้อนให้เห็นรูปแบบการใช้ชีวิตของเรา จุดที่ทำให้ชีวิตไม่ราบรื่น แต่เราไม่จำเป็นต้องผลักไส หรือ หลีกหนี เพียงเรารู้จักการเป็นมิตรกับตัวเอง เราจะอยู่ร่วมกับทุกตัวตนได้อย่างกลมกลืน เพราะทุกตัวตนล้วนรักและปรารถนาดีกับเราทั้งนั้น
.
“ความท้าทายที่สุดของการอบรมครั้งนี้คือการเผชิญหน้ากับอัตตาผ่านการเขียนแบบ Dialogue รู้สึกว้าวมากที่พาตัวเองได้ได้ขนาดนี้ มีทั้งการปะทะคารมและค่อยโอนอ่อนผ่อนตามทำความเข้าใจกับอัตตาเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ประทับใจบทเรียนในส่วนนี้มากๆ
.
“เสียงตำหนิ เคยทำในกระบวนการ process work ในครั้งนี้ได้พบอีกช่องทางในการทำงานกับเสียงตำหนิผ่านการเขียน แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์โกรธออกมาชัดเจน ตอนที่ครูให้โจทย์จึงสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกโกรธที่ทำให้ตำหนิคนอื่น โชคดีที่พี่ที่คู่กันทักขึ้นมาว่าสิ่งที่เราเขียนไม่น่าจะใช่ ลองนึกดีๆ ทำให้เรากลับไปสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ และพบว่าความโกรธที่รุนแรงมาจากการที่เราเจ็บปวดและไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง จุดนั้นทำให้เราดิ่งสุดๆ จนเกรี้ยวกราดออกมา
.
“กิจกรรมสุดท้ายที่ปั้นดินน้ำมันก็ทำให้ได้เห็นเรื่องราวสรุปทั้งหมดว่าตัวตนเราเป็นยังไง ตอนที่เราไม่มั่นคงเราเป็นอย่างไร และตัวเรามีศักยภาพอะไรที่จะดูแลตัวเอง รู้สึกผ่อนคลายกับตัวเองได้มากขึ้น และระลึกถึงสิ่งที่พบตัวเองระหว่างการเดินทางเรื่อยๆ
.
“การต่อยอดจากการอบรมครั้งนี้คงต้องเรียนรู้ตัวเองไปเรื่อยๆ ด้วยความมีสติ ความรู้สึกตัว อ่อนโยน ผ่อนคลายและให้อภัยตัวเอง ลงเรียนเขียนเยียวยาต่อเพราะคิดว่าการเขียนสามารถทำให้เรายังกลับมาทบทวนตัวเองได้ ถ้าไม่เรียนก็ไม่มีเหตุให้ได้กลับมาดูตัวเอง ทั้งที่จริงๆเป็นคนดูตัวเองอยู่เรื่อยๆ แต่เวลามีความสุข สงบ เรามักจะหลง ลืมและอีกอย่างที่เรียนเขียนต่อเพราะอยากนำการเขียนนี้ไปดูแลคนรอบข้างต่อ เพราะเราจะมีโอกาสได้ทำกิจกรรมกับผู้คนอีกมากมายจึงอยากให้สิ่งที่เราได้รับประสบการณ์ตรงและเกิดผลกับเรา ช่วยเหลือดูแลเขาได้เช่นกัน อีกบทเรียนที่สนใจอยากเรียนคือคลาสพลังจิต เพราะตอนนี้เริ่มสนใจในศาสตร์การเยียวยามากขึ้น
.
“จากตอนแรกที่ตั้งใจเป็นแค่กระบวนกรธรรมดา แต่พอเรานำพาผู้คนค้นพบตัวเองและหลายๆคนที่ติด ไม่รู้จะไปยังไงต่อ และเราได้เห็นตัวเองตอนที่มีความทุกข์แล้วว่าต้องการอะไร
เราจึงอยากเรียนรู้สิ่งที่จะสามารถบรรเทาทุกข์ให้ทั้งตัวเองและผู้คนได้บ้าง ไม่มากก็น้อยค่ะ
.
“รู้สึกสะเทือนใจนิดๆ เข้าใจตอนที่ครูบอกว่า เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อคนทุกคน เพราะมันเป็นความรับผิดชอบที่ต้องมีร่วมกัน เราเข้าใจครูนะ เพราะเราก็มีพลังในการพุ่งออกไปเพื่อแบกรับอะไรที่ใหญ่กว่าตัวเองอยู่ พอฟังคำครูทำให้เรากลับมาตระหนักได้ว่า ไม่เป็นไร ทำในส่วนที่เราทำได้ก็พอ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ขอบคุณครูที่ยังทำอยู่ เป็นกำลังใจให้ครูและทุกๆคนด้วยค่ะ”
.
มิ้นท์ (เจ้าหน้าที่ป่าไม้)
ผู้เรียนคอร์ส “โอบกอดด้านมืดแห่งตัวตน” รุ่นสี่
.
.
“ได้เข้าใจในตัวเองมากขึ้นว่าเราเกิดความรู้สึกทุกข์ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เรามีเราเป็นแต่เกิดจากท่าทีที่เรารับมือกับมัน และเพราะเราใส่ใจมันมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนละเลย
.
“ชอบกิจกรรมที่ให้บอกเล่าเรื่องความผิดพลาด เพราะรู้สึกว่าทำให้ยอมเปิดใจเห็นด้านมืดของตนเองมากขึ้น และชอบกิจกรรมรับคำวิจารณ์เพราะได้เห็นตัวตน ภายในของตัวเองและของคู่กรณีอย่างชัดเจนมาก ทำให้ได้เข้าใจว่าสิ่งใดที่เราต้องทำหรือปรับเปลี่ยนเพื่อเติมเต็มความต้องการภายในของกันและกัน เพื่อให้ความรู้สึกและท่าทีต่อกันเป็นไปในทางบวกมากขึ้น
.
“ชอบการเคลื่อนไหวตามจังหวะชีวิตทั้ง 5 มากที่สุด เพราะรู้สึกเป็นอิสระจากความคิดความกังวลใดๆ
.
“ขอขอบคุณครูโอเล่และทีมงานที่จัดคอร์สนี้ขึ้นมาค่ะ หลังจากเรียนจบคอร์สรู้สึกว่าตัวตนด้านมืดได้รับการโอบกอดอย่างแท้จริงแล้ว”
.
สุพัตรา (ค้าขาย)
ผู้เรียนคอร์ส “โอบกอดด้านมืดแห่งตัวตน” รุ่นสี่
.
.
“เป็นการทบทวนตัวเอง ค่อยๆมองเห็นตัวตนที่มีโดยมีความพร้อมที่จะยอมรับและค่อยทำความเข้าใจได้ดีขึ้น การผสมผสานทั้งการระบายเป็นภาพ ด้วยการเขียน การพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง การปั้นดินน้ำมัน และการเคลื่อนไหวร่างกาย มีความน่าสนใจ ที่สร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนมีอิสระ แบบค่อยๆไต่ระดับความเข้มข้นและมีเวลาเพียงพอที่จะได้ทบทวนภายใน โดยไม่รู้สึกกดดัน และก้าวข้ามความกลัวที่จะทำไม่ได้
.
“เรื่องพ่อแม่ภายในทั้ง 3 ตัว เป็นจุดนึงช่วยเป็น guideline ในการมองกลับมาที่ภายในได้ดีขึ้น กลับมาทำให้ทบทวนและพัฒนาภายในตัวเอง และช่วยทำให้อยู่กับสถนการณ์ตรงหน้าดีขึ้นมาก ที่สังเกตเห็นชัดๆคือ เรื่องฟังดีขึ้น การตัดสินทั้งภายในและภายนอกดีขึ้นโดยเฉพาะภายในลดลงมากที่เกิดการทาบลดลงอย่างเห็นได้ชัด”
.
ภศิชา (ที่ปรึกษาและวิทยากร)
ผู้เรียนคอร์ส “โอบกอดด้านมืดแห่งตัวตน” รุ่นสี่
.
.
“เข้าใจถึงอุปาทาน4 จากการสัมมนาทำให้จิตมีสติและมีกำลังของความตั้งมั่นเห็นสภาวะที่จิตเผลอเข้าไปยึดในอุปทานตามความเคยชินตามธรรมชาติ มีความเข้าใจว่าแทบตลอดเวลาจะมีสภาวะอยากและยึดอยู่ตลอดจะเป็นกลางเฉพาะในยามมีสติรู้ทันความไม่เป็นกลางรู้ทันความอยากและยึด
.
“เข้าใจว่าที่ผ่านมาในชีวิตดำเนินชีวิตในทุกด้านด้วยความอยากและเห็นในอุปาทาน4ตลอดมา ส่งผลก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆตามมา ได้เข้าใจถึงคำว่าเพื่อนร่วมทุกข์อย่างแท้จริง(สำหรับผม)ว่าทุกๆคนก็มีความทุกข์เช่นเดียวกัน
.
“ชอบการให้อยู่เฉยๆไม่พยายามทำอะไร 15 นาที ทำให้ได้เรียนรู้และก่อให้เกิดความเข้าใจถึงเหตุที่นำพาให้เกิดความสงบสมาธิ ที่ผ่านมาเผลอไปทำ หลุดจากหลักไป พยายามทำความสงบพยายามทำความรู้สึกตัว ชอบการวางเมตตาไว้ในใจด้วยคำว่า ขอโทษ ขออภัย ขอบคุณ รัก ช่วยให้มีความสุขในการใช้ชีวิต ฟังผู้อื่นได้รู้และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ชอบการเขียนโต้ตอบด้วยมือขวา-ซ้าย เหมือนเป็นการโค้ชตัวเองช่วยปลดล็อคความคิดได้
.
“ขอบพระคุณครูโอเล่และพี่มุกสำหรับสัมมนาดีๆนี้ครับ ขอบคุณเพื่อนร่วมคลาสทุกๆท่าน”
.
จักรทิพย์ (วางแผนการเงิน)
ผู้เรียนคอร์ส “โอบกอดด้านมืดแห่งตัวตน” รุ่นสี่
.
.
“จากการอบรม 3 วันสำหรับคอร์ส “โอบกอดด้านมืดแห่งตัวตน” ทำให้ยู้ได้เรียนรู้ว่า 1. ทุกสิ่งมีคุณค่า แม้แต่ด้านมืด แต่ทุกอย่างต้องพอดี ต้อง balance
2. เราควรรัก และ มีเมตตา โดยเฉพาะกับตัวเอง เพื่อเรียนรู้
เข้าใจและยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง โดยไม่หลีกหนี ไม่ซ่อนเร้น
ไม่ตำหนิ ไม่รังเกียจ สิ่งที่มันเกิดขึ้น แค่เรียนรู้ เข้าใจและยอมรับมัน
3. ชีวิตควรมีทุกจังหวะ ตามสถานการณ์ที่เป็นไป ไม่ต้องมุ่งมั่นตลอดเวลา
ไม่ใช่นิ่งเฉยจนเกินไป ไม่ใช่การปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง
มันควรมีทุกจังหวะ ตามแต่สถานการณ์
4. การเปิดใจมองให้เห็นตัวเองทุกขณะ คือ การที่เราอยู่กับปัจจุบันของตัวเอง
ความประทับใจในกิจกรรม หรือกระบวนการอบรม
.
“อาจารย์ถ่ายทอดส่วนที่เป็นเนื้อหาได้ดีมากค่ะ เข้าใจง่าย
รวมถึงแนวทางการเรียนรู้ มันดูเย็นๆ ดูค่อยเป็นค่อยไป ดูมีเมตตา
ทำให้เปิดใจได้ไม่ยากค่ะ”
.
ยู้ (นักบัญชีและผู้สอบบัญชี)
ผู้เรียนคอร์ส “โอบกอดด้านมืดแห่งตัวตน” รุ่นสี่
ติดตามกิจกรรมและการอบรมได้ที่
www.dhammaliterary.org/คอร์สการอบรม/