หายใจเข้า ณ ปลายจมูก เราสัมผัสกระแสแห่งชีวิต กลุ่มละอองลมหายใจ ไหลคล้อยเข้ามา ลึกยาวเพียงใด ให้กายใจสัมผัสรับรู้
หายใจออก ร่างกายและลมหายใจ สัมผัสอ่อนโยนก่อนลับลาจากกัน หากลมหายใจเรายังคงมิอาจวางใจแข็งเกร็งเกินผ่อนคลาย หรือเร่งร้อนรน ลองสัมผัสด้วยการรับรู้ ให้เวลากับการพบและพรากจาก อ้อยอิ่งในปัจจุบัน สัมผัสลมหายใจเข้าออกอย่างทะนุถนอมด้วยรัก
ชีวิตเราเหมือนสายธารอย่างไร หากเรามีสมุดบันทึกส่วนตัว หรือมีสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งตนได้จารึกการเดินทางของหัวใจและชีวิต ลองย้อนไล่เรียงอ่านทวน จากวันนี้สู่วันวาน จากช่วงนี้สู่อดีต จากเดือนก่อนสู่ปีก่อน ราวเดินย้อนสายน้ำหาจุดเริ่มต้น
ชีวิตเราเหมือนสายธารอย่างไร หายใจเข้า ตรึกตรองไว้ในหัวใจเรา สำหรับนักเรียนการเขียนเยียวยาหรือผู้สนใจบันทึกดูแลตนเอง หยิบอุปกรณ์ขึ้นมา เขียนใคร่ครวญ ชีวิตเราเหมือนสายธาร การเดินทาง การเปลี่ยนแปลง และความลื่นไหล
หายใจออก ลมหายใจเราเหมือนกระแสน้ำอย่างไร ใช้กายใช้ใจอ่านรับรู้ แล้วค่อยคล้อยหายใจเข้าอีกครา เขียนการทบทวนด้วยลมหายใจเข้า สัมผัสกระแสธารที่ไหลรินสู่ร่างกาย ลึกลง ลึกลง ก่อนอีกกระแสธารหนึ่งวกย้อนเดินทางออกมา สู่อากาศภายนอกและท้องฟ้าจรดไกล
สิ่งใดใดในจักรวาล เป็นอย่างน้อยสองลักษณะในตัวเอง อยู่ที่บริบทและการสังเกต หนึ่งเป็นก้อน หรือเราอาจเรียกเป็นอนุภาค สองเป็นกระแสธาร หรือเราอาจเรียกว่าเป็นคลื่น ลมหายใจเรานี้ก็เป็นละอองธุลีในอากาศ ล่องลอยอยู่ในห้อง ณ ธรรมชาติ ลมหายใจน้อยๆ ที่สัมผัสกับปลายจมูกเราขณะอ่านย่อหน้านี้ อาจเดินทางมาไกลจากมหาสมุทรอีกฟากฝั่งโลก ผ่านหมู่มัจฉา นกเป็ดน้ำ ก้อนเมฆหลากรูป จนมาถึงที่นี่ ลมหายใจเรายังเป็นเส้นสายแห่งการเดินทางและการแปรเปลี่ยน
เช่นตัวเรา ความเป็นตัวตนมิใช่เป็นรูปร่างแบบเดียวกับที่เราเห็นตัวเองในกระจกเงา มิได้เป็นตัวตนที่ตันและแข็งทื่อ เราก็เป็นกระแสธาร มีการเกิดดับมากมายในร่างกายและในจิตใจ วันนี้และเมื่อวานเราแปรเปลี่ยน ตายและเกิดใหม่ทุกวินาที ตัวตนเราเป็นสายน้ำแห่งการแปรเปลี่ยน เป็นดั่งน้ำที่เคลื่อนคล้อยไปตามกาลเทศะและการปรุงแต่ง
งานเขียนหรือบันทึกก็มิใช่สิ่งที่หยุดนิ่ง เราอาจเห็นงานเขียนคือการประกอบของคำ เกิดเป็นกลุ่มคำ กลายเป็นประโยค เกิดย่อหน้า เป็นบทตอน เชื่อมโยงเป็นเรื่อง จัดแต่งเป็นรูปเล่ม งานเขียนมิใช่สิ่งที่เป็นตัวตน แม้มีด้านที่เป็นตัวตนแห่งถ้อยคำ แต่ก็มีด้านที่เป็นกระแสธาร การแปรเปลี่ยนของความรู้สึก พลังงาน การเดินทางของเรื่องราว การเกิดและการเสื่อมไป
หายใจเข้า ณ วินาทีที่เรารับรู้การหายใจเข้า เรากำลังสัมผัสกระแสธาร รู้สึกในปัจจุบันขณะว่ากระแสธารนี้พัดพามาอย่างไร เรากำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ยึดกุมและไม่ปล่อยปละ เพียงสัมผัสลมหายใจเข้า รับรู้การเดินทางมา และรอต้อนรับลมหายใจคลี่คลายออกไป เราไม่พยายามให้ลมหายใจหยุดกับที่ หรือปิดกั้นมิให้เข้าหรือออก เพราะการหยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงคือความตาย ชีวิตปกติที่ขาดการรู้เท่าทัน เราพยายามปิดกั้นหรือหลบหนีสิ่งที่เราไม่พอใจหรือไม่ต้องการ และกลัวการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เรายึดไว้ว่ามั่นคงและปลอดภัย
หายใจออก เรากลัวจนไม่ได้ใช้ชีวิต การมีชีวิตคือการเดินทางเหมือนกระแสธารไหลคล้อย เราอาจเคยมีช่วงเวลาอันเปี่ยมพลัง รู้สึกมั่นคงกับสิ่งที่เป็นอยู่ ปลอดภัยกับฐานะทางการงานหรือการมีคนรัก รู้สึกไว้วางใจยามมีสุขภาพที่แข็งแรง กระนั้นเรามิอาจขวางโลกมิให้หมุน การกั้นทางน้ำเพราะความกลัว ทำให้อากาศผิดผันและเกิดภัยพิบัติความแห้งแล้งและน้ำท่วมเสียสมดุล การกั้นทางลมหายใจด้วยการปล่อยปละตนเองและความเครียดที่มีบั่นทอนพลังกาย และบีบคั้นตน การกั้นทางชีวิตมิยอมเลื่อนไหลไปกับความเป็นจริง ทำให้เราสูญเสียชีวิต ขังตนไว้ด้วยกำแพงการยึดติดอันน่ากลัว
เมื่อเราปิดกั้นความนึกคิดและสติปัญญาเราไว้ เราย่อมพลาดโอกาสเดินทางชีวิตบนเส้นทางแห่งการตื่นรู้ เรากลัวความทุกข์จึงพยายามสร้างปราการปิดกั้นต่างๆ นานา ทั้งที่ภายในเรามีปัญญาที่สามารถหาทางออกจากทุกปัญหาได้ ลองย้อนกลับหลังมองอุปสรรคที่ผ่านมาของชีวิต เราย่อมสามารถหาทางออกหรือรอดพ้นได้ในที่สุด
เมื่อเราปิดกั้นหัวใจและยั้งมือ ตัวอักษรบนหน้ากระดาษย่อมติดขัด การเขียนหยุดชะงัก ความคิดจมจ่อมนิวรณ์ ความลังเลและการคาดหวัง หรือติดปีกหนีจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพียงเปิดรับเพื่อสัมผัส ณ ปากกา โน้มนำใจอยู่กับกระแสแห่งการเคลื่อนไหว เมื่อหัวคิดลังเลลองฟังหัวใจ เมื่อหัวใจสับสนเชื่อร่างกายนำทาง เราเขียนหนังสือด้วยร่างกาย มิใช่สมอง
หายใจเข้า ณ วินาทีที่เรารับรู้การเขียน มือเราสัมผัสกระแสธาร ไม่กั้นขวางหรือดึงมือหนี กวัดไกวว่ายไปกับท้องน้ำ การเขียนจากนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของกระแสอันหลากหลาย ภายใน ภายนอก และไกลกว่านั้น ไหลลงมาบรรจบและเดินทางต่อจากหน้ากระดาษ
แม้ความตายยังมีการเดินทาง หายใจออก เราไม่เพิกเฉยต่อการหายใจ เพียงสัมผัสรับรู้เพื่อจะมีชีวิตอันเต็มเปี่ยม ไม่ปล่อยวางด้วยการนึกคิดเอา เมื่อเราตกอยู่ในร่อง เราย่อมไม่อาจปีนขึ้นได้ จนกว่าจะรู้ตัว เราจะวางสิ่งใดได้อย่างไร หากไม่รับรู้การสัมผัสว่าตนกำลังยึดถืออยู่ การปล่อยวางอย่างขาดสติ ย่อมผลักดันความจริงลงไปใต้น้ำ หรือถ่วงหนักเราไว้ในระหว่างการเดินทาง หรือส่งเสริมการขาดความรับผิดชอบ
กระแสธารเพียงเกิดขึ้น ไหลคล้อยระหว่างวันเวลา เมื่อวานคนนี้ทำกับเราแบบนี้ วันนี้เราเจอคนอีกแบบหนึ่ง เดี๋ยวดีเราก็รู้สึกเชื่อมั่น มีพลังในตนเอง เดี๋ยวร้ายเราก็ประณามตน รู้สึกหมดเรี่ยวแรง คนในครอบครัวบางวันก็ยิ้มดูแลกันและกัน บางวันก็ขุ่นมัวปะทะวาจาหรือทุ่มโถมความเงียบประชดประชัน ตอนนี้ร้าย กลับกลายเป็นดีในคราวหน้า ชีวิตลื่นล่องไหล ดั่งลมหายใจ ดั่งกระแสน้ำ
สิ่งสำคัญคือเรามีท่าทีอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้นหรือกระแสธารเหล่านี้ ท่าทีของเราทำให้เกิดทุกข์ยิ่งขึ้น พาหนีความจริง หรือช่วยเราได้เติบโต เรามักหวาดกลัวที่จะยอมรับกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างตรงไปตรงมา ใช้ชีวิตอย่างหลับตาและปล่อยวางไว้ซ่อนลึก ความคิดยึดติดหรือปรุงแต่งมักทำให้สิ่งต่างๆ น่ากลัวเกินจริง ไม่เป็นไรหากเราจะหลับตาหรือรู้สึกหวั่นไหว สายธารที่กำลังรี่ไหล อาจดูเร็วแรงและเชี่ยว เพียงลองสัมผัส แตะด้วยใจเบาๆ ค่อยคล้อยพาใจรับรู้ อยู่กับมันเท่าที่เราทำได้ ถอยห่างออกมาหากสั่นคลอนภายในเกินทน เพื่อจะค่อยก้าวกลับไปสัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นใหม่ จับมือเด็กน้อยที่หวาดกลัวในตัวเรา สัมผัสกระแสธารแห่งชีวิต
สายลมหายใจที่เดินทางมาเยือน หายใจเข้า เราอาจมองไม่เห็นหรือแลดูมีอันตราย เพียงสัมผัสด้วยกายรับรู้ เราอาจสัมผัสได้ถึงไออุ่นหรือความเย็นชื่นเมตตา สายน้ำแห่งชีวิตอันมิแน่นอน ย่อมปลอบโยนมือเด็กน้อยที่เริ่มสัมผัสอย่างอ่อนโยน ต้นไม้ที่ทอดใบรับหยาดน้ำฝนย่อมคลายไอร้อนทุรน รากไม้ที่หยั่งลงสัมผัสมวลน้ำ ย่อมก่อเกิดการเติบโต
หายใจออก จับมือน้อยๆ ของร่างกายเรานี้ สัมผัสสิ่งรอบตัว มิว่าแป้นพิมพ์ โต๊ะคอมพิวเตอร์ อากาศ ผนัง ใบหน้า ลำตัว สิ่งของข้างกาย สัมผัสด้วยการรับรู้และใจอ่อนโยน อยู่กับสิ่งที่มีและเกิดขึ้นอย่างเมตตา
ก่อนหลับตาลง สัมผัสบางสิ่งรอบๆ ตัวเราอีกคราครั้ง ทำให้ช้าลง ทักทายด้วยการรับรู้ ก่อนย้อนกลับมา สัมผัสนิ้วมืออีกข้าง ทาบประทับเบาๆ สัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ามือตนเอง หายใจเข้า หายใจออก รับรู้ภายใน การเกิดขึ้นและการเปลี่ยนแปลง ภายในร่างกายและจิตใจ เพียงสัมผัสสิ่งเหล่านั้น มิควบคุมหรือหลบเลี่ยง ให้การรับรู้เป็นเช่นกระแสธารคล้อยมาและไหลลับ ความเป็นตัวตนเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วเปลี่ยนแปลง
สำหรับนักเรียนการเขียนเยียวยาและผู้สนใจการเขียนเพื่อพัฒนาตนเอง ใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบนาที บันทึกไหลเลื่อน ให้มือและการเขียนนำทาง ไม่หยุดเพื่อครุ่นคิด เพียงพักมือเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ด้วยการรับรู้มิใช่หลบเลี่ยง ตั้งประเด็นไว้ว่า เราจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยหลบเลี่ยงหรือหลีกหนี แล้วเริ่มต้นเขียนไม่หยุดปากกา เหตุการณ์ เรื่องราวใด และสิ่งใด ซึ่งเราเคยหลบเลี่ยง หรือกำลังพยายามหลีกหนี ไม่กล้ายอมรับ ไม่อยากเผชิญหน้า พยายามปล่อยวาง พยายามไม่ใส่ใจ ให้การเขียนพาเรารับรู้ จับมือเราสัมผัส
การเขียนเพื่อเผชิญสิ่งที่ยากจะเผชิญต้องอาศัยการทำซ้ำ ควรทำอย่างน้อยสี่ครั้ง และสงบนิ่งเพื่อตระหนักรับรู้ภายใน ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังบันทึก หากเรารู้สึกเจ็บปวด ให้ดูแลตนเองด้วยการเขียนบันทึกหากเวลายังไม่หมด ไม่หลบหนีหรือหยุดกลางคัน อาจถอยชั่วคราวเพื่อค่อยพาเด็กน้อยกลับมาสัมผัสกระแสธารนั้นอย่างอ่อนโยน หากมีความรู้สึกตกค้างหลังบันทึก ให้ดูแลตนด้วยตนเอง เรียนรู้ที่จะสัมผัสบาดแผล มิใช่ปล่อยทิ้งไว้ให้หนอนกัดแทะกิน การดูแลแผลย่อมต้องเผชิญความเจ็บ เป็นโอกาสที่เราจะได้เผชิญหน้ากับความทุกข์ เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นการเติบโต ก่อนเราจะบันทึกประเด็นเดิมอีกครา ศักยภาพในการรักษาแผลของตัวเราผลิเผยออกมา เราจะต้องไม่ปิดกั้นตน
ลึกๆ เรามีศักยภาพมากมายที่ยังไม่ได้พิสูจน์ หากเรากลัวความมืดจนเปิดไฟสว่างทั้งราตรี ดวงตาย่อมพลาดเห็นแสงดาราบนฟ้า และดาวบนดินหิ่งห้อยน้อย
หายใจเข้า สัญญาว่าจะดูแลเธอด้วยใจเมตตา หายใจออก ฉันจะสัมผัสเธอเบาๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันและพรากจากกัน
ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต
คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #8