รวมบทเรียนและการฝึกฝนตนเอง จากหลักสูตร “ครูเขียนภาวนา”

 

 

รวมบทเรียนและการฝึกฝนตนเอง จากหลักสูตร “ครูเขียนภาวนา” สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ถึง เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ผ่านการฝึกเขียนภาวนา การใคร่ครวญธรรม และการเจริญสติปัฏฐานสี่ ด้วยการเรียนรู้ทางไกลรวมห้าเดือน มีผู้ผ่านการอบรมรวมทั้งสิ้น ๑๘ คน ได้แก่ ครูปู สิริลักษณ์ , ครูหลิน , ครูบุศร์ , ครูจิ๋ม , ครูสุ , ครูมุก , ครูตู่ , ครูวิ , ครูปู หัทยา , ครูปู เนาวรัตน์ , ครูชิ , ครูแอนนา , ครูนก , ครูตุ้ม , ครูเอ , ครูกลอย , ครูจัน และครูเหล่ง

 

การได้มีเวลาดูแลใจตัวเองเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เราควรให้เวลาดูแลใจตัวเองที่ถูกวิธี ซึ้งต้องใช้เวลาฝึกฝน ขัดเกลา การภาวนาทุกรูปแบบดีต่อใจทั้งสิ้น ทำได้ไม่อยากไม่ง่ายขึ้นอยู่กับความเชื่อและศรัทธาของเรา
สำหรับฉันตอนนี้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมให้ใจเกินร้อยกับการภาวนา ฉันเชื่อด้วยหัวใจ ฉันรักและศรัทธาในการภาวนา ฉันจะมุ่งมั่นและเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป
ฉันเห็นพัฒนาการของตัวเองจากการ
ภาวนาเพิ่มขึ้นทีละนิด ฉันจิตใจมั่นคงขึ้น อยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น อดทนรอคอยได้
อยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากการฝึกและการทำซ้ำๆและให้เวลากับการภาวนาเพิ่มขึ้น ฉันให้ความสำคัญกับการภาวนา ฉันดีใจที่ได้เดินบนเส้นทางนี้
ขอบคุณคอร์สครูเขียนภาวนา ที่ทำให้ฉันได้ดูแลกายใจตัวเองอีกครั้ง ตลอดระยะเวลาสี่เดือนที่ผ่านมา ฉันได้ฝึกการเป็นครูและนักเรียนที่ดี เราได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ฉันได้ฝึกออกแบบโจทย์เขียนภาวนา ฉันได้ฝึกภาวนาในรูปแบบและนอกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น การเดินจงกรม การนั่งสมาธิอานาปาณสติ สมาธิแนวการเคลื่อนไหว ฝึกจักระ สวดมนต์ เราเขียนภาวนากันไม่ต่ำกว่า20หัวข้อ เราได้ตรวจการบ้านเพื่อนๆ เราได้ฝึกสะท้อนซึ่งกันและกันผ่านตัวอักษร รู้สึกมหัศจรรย์ที่ตัวอักษรบอกอะไรเราได้มากกว่าที่คิด
นอกจากนี้เราได้ศึกษาธรรมะในหัวข้อต่างๆมากมายเราได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนหลายหัวข้อได้ต่อยอดและทบทวนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น
คอร์สครูเขียนภาวนาเป็นคอร์สที่สนุ๊กและประทับใจมีหลากหลายอารมณ์เกิดขึ้นระหว่างการฝึกได้เห็นความคิดอารมณ์
ความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้นเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ดีๆในชีวิตที่น่าจดจำค่ะ
ขอบพระคุณครูอนุรักษ์ที่คอยชี้แนะ ขัดเกลา บ่มเพาะให้พวกเราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องดีงามเสมอมา
ขอบพระคุณครูปู หัทยาและครูปู เนาวรัตน์ ที่เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นพี่ที่น่ารัก อบอุ่นและมีเมตตา
ขอบคุณประสบการณ์ดีๆที่ได้จากเพื่อนๆทุกคนในคอร์สครูเขียนภาวนาในครั้งนี้ค่ะ

แอนนา

 

. . .

 

ทุกการเรียนรู้ที่ได้รับจากคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” เป็นการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นจริงกับตนเองเป็นหลัก โดยมีครูโอเล่เป็นผู้ให้คำปรึกษาชี้แนะแนวทาง มิใช่เพียงศึกษาจากในตำราหรือจากประสบการณ์ของผู้อื่นเท่านั้น

กิจกรรมหลักในการเรียน เช่น การเขียนภาวนาที่ใช้เวลาเกินชั่วโมงซึ่งมากขึ้นกว่าเมื่อเรียนคอร์สเขียนภาวนา การฝึกเป็นครูให้แก่เพื่อนที่ทำให้ได้เห็นตัวเองชัดขึ้นผ่านตัวเพื่อน การปฏิบัติธรรมในรูปแบบอย่างเข้มข้น เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม ล้วนเป็นการส่งเสริมให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นทั้งสิ้น เบื้องหลังความคิด คำพูดและการกระทำของตนเองมีกิเลส ตัณหา หรืออุปาทานใดเป็นตัวผลักดัน และควรพัฒนาธรรมะในข้อใดให้มากขึ้นเพื่อมองโลกตามจริงอย่างเป็นกลาง ไม่ถูกครอบงำด้วยอกุศลใดๆ ก็เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคอร์สนี้

การได้ลงมือทำกิจกรรมต่างๆอย่างพากเพียร ไม่ท้อถอย ทำให้สามารถสังเกตุเห็นตนเองได้ละเอียดขึ้น มีความเพียรที่ต่อเนื่องมากขึ้น และอดทนอดกลั้นต่อสิ่งเร้าได้มากขึ้น ได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติธรรมในรูปแบบที่ถูกต้อง ฝึกฝนให้มีสติคมชัดและมีสมาธิที่มั่นคงขึ้น เห็นถึงที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆภายในตน ทำให้มีความสนใจที่จะศึกษาหลักธรรมเพิ่มขึ้นเองโดยไม่มีการบังคับแต่อย่างใด

เมื่อได้เรียนคอร์สนี้ทำให้เห็นว่ามีความคิดความเชื่อหลายอย่างที่ตนเองเข้าใจผิดมาตลอดซึ่งทำให้ยังคงทุกข์กับเรื่องเดิมๆอยู่ร่ำไป การได้ขัดเกลาตนเอง หมั่นรู้ทันการปรุงแต่งของจิต ฝึกฝืนความเคยชินทั้งความคิด คำพูดและการกระทำ ให้อยู่บนทางสายกลางตามหลักมรรค ๘ ทำให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมากขึ้น เพราะมีมุมมองความคิดถูกต้องตามจริงมากขึ้น เป็นสัมมาทิฐิ ไปในทางที่เป็นกลางมากขึ้น

ตลอดระยะเวลาที่เรียนจะต้องหมั่นใคร่ครวญธรรมอยู่เสมอและต้องระลึกอยู่เสมอว่าทุกกิจกรรมในการเรียนเป็นไปเพื่อการละวางอัตตา การต้องหมั่นขัดเกลาอัตตาอยู่เสมอ ทำให้เกิดการปลูกฝังกลายเป็นนิสัยติดตัวไปในชีวิตประจำวัน มีการมองโลกบนกฎแห่งไตรลักษณ์ ดำเนินชีวิตให้อยู่บนทางสายกลางตามหลักมรรค ๘ ทำงานตามหลักอิทธิบาท ๔ และคงการภาวนาอย่างสม่ำเสมอเพื่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุขจากภายในตามธรรมชาติ โดยไม่คอยเสาะแสวงหาสิ่งภายนอกมายึดเหนี่ยวใจให้เกิดความสุขอีก

ขอบคุณเพื่อนร่วมเรียนรู้ทุกคนที่รู้จักกันผ่านตัวอักษรแม้ไม่เคยเห็นหน้ากันแต่ส่งผ่านกำลังใจให้กันเสมอผ่านการลงมือทำการบ้านอย่างต่อเนื่อง ได้ใคร่ครวญธรรมและถอดบทเรียนร่วมกันจากการวิเคราะห์ตนเองอย่างจริงใจของทุกคน

ขอบพระคุณครูโอเล่ที่ทุ่มเทสร้างสรรค์คอร์ส์นี้ เสมือนเป็นการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานกันระหว่างการเขียนเชิงจิตวิทยา หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จิตวิทยาให้คำปรึกษา และการบำบัดเยียวยา การเรียบเรียงหลักธรรมออกมาในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้น รวมถึงการสื่อสารของครูทำให้เชื่อมโยงสภาวะจิตที่เกิดขึ้นของตนเองกับกิเลสต่างๆได้ชัดเจนขึ้น ขอบพระคุณครูที่ให้โอกาสได้เรียนรู้ ชี้แนะแนวทาง คอยขัดเกลาอัตตาและเตือนสติอยู่เสมอค่ะ

ก่อนเรียน ขณะเรียนและเมื่อเรียนจบแล้วก็ยังระลึกอยู่เสมอว่าระยะเวลาสี่เดือนที่เรียนคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” นี้เป็นดัง “นาทีทองในสังสารวัฏ” ของเราจริงๆ

สุพัตรา

. . .

 

สิ่งที่ฝึกฝน ขัดเกลา และเรียนรู้ จากคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” ครั้งนี้ พบว่ามีจิตอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ความคิดเกิดเห็นว่าความคิดเกิด ดูว่าเกิดอย่างไร แล้วก็ดูว่าคิดดับไปอย่างไร

ในวันแรกที่ลงมือทำกิจกรรมเป็นการรื้อฟื้นการ “เขียนภาวนา” ใหม่เพราะเคยเรียนแต่ไม่เคยทบทวนจึงทำให้การเรียนครั้งนี้เป็นการทบทวนใหม่เปรียบเสมือนการ “เริ่มต้นใหม่” อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้น และดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือน

ก่อนเรียนเราไม่เข้าใจหลักธรรมคำสอนเลย แม้จะเคยอ่านหนังสือมาบ้างแต่ไม่อิน เมื่อได้เรียนคอร์ส ครูเขียนภาวนาครั้งนี้พร้อมทั้งทำกิจกรรมตลอดหลักสูตรพบว่า เราเข้าใจหลักธรรมมากขึ้น เป็นเพราะการประยุกต์กิจกรรมการฝึก ที่ต้องเป็นทั้งผู้เรียน และครูผู้ฝึกสอนในคราวเดียวกันจึงทำให้ได้เรียนรู้สภาวะธรรม ทั้งกิเลสธรรมดา และวิปัสนูกิเลสที่เกิดขึ้นแตกต่างกันจนทำให้เข้าใจในแต่ละสภาวะเหล่านั้นเพราะคำถามที่ครูโอเล่จะคอยถามเพื่อทดสอบอารมณ์เพื่อให้เราได้ตระหนักรู้เองจึงทำให้เราเข้าใจสภาวะที่เกิดขึ้นนั้นอย่างแท้จริง

สิ่งที่ได้ฝึกฝน และขัดเกลาตนเอง คือการขัดเกลาเพื่อวางอัตตาตัวตน สังเกตอาการกระทบของกิเลสที่มากระทบกับอัตตาของเราแล้วเกิดอะไรขึ้น หากเรามีอารมณ์นั้นแสดงว่าเรายังยึดอัตตาอยู่มาก หรือแม้หากไม่มีอารมณ์ก็ยังต้องพิจารณาอยู่ดีว่าที่ไม่มีอารมณ์นี้เกิดจากกิเลสใด หรือเข้าใจอย่างแท้จริงว่าไม่ควรยึดติดกับอัตตาจึงไม่ปรุงแต่งอารมณ์ขึ้น

และที่ได้มาเป็นของแถม พบว่าตัวเองมี “วินัย” กับทุกเรื่องในชีวิตมากขึ้น โดยไม่ต้องพยายามเลย เมื่อถึงเวลาทำสิ่งใดจะยอมทำสิ่งนั้นโดยไม่ผัดวันประกันพรุ้ง หรือแม้แต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่ไม่มีประโยชน์ มีความสุขกับการทำงาน การใช้ชีวิตมากขึ้น ยอมรับสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริง และแก้ไขปัญหาไปตามบทบาทที่ตนได้รับโดยไม่แบกปัญหาไว้เหมือนก่อนคะ

ขอบคุณทุกความปรารถนาดี ขอบคุณการขัดเกลา ขอบคุณการตักเตือนเพื่อให้มีสติ เมื่อให้ตระหนักรู้ มองเห็นตามความเป็นจริงจากครูโอเล่ และขอบคุณในออกแบบการเรียนรู้ในเชิงจิตวิทยา ประยุกต์เข้ากับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงทำให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้นมาก และการตั้งคำถามเพื่อทดสอบอารมณ์ของครูทำให้เราตระหนักเห็นสภาวะที่เกิด จึงเข้าใจสิ่งที่เป็นอย่างแท้จริง

แม้การเรียนของคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” จะจบแล้วแต่ “การเรียนของชีวิต” ยังไม่จบ อย่างไรก็ดีเราก็ยังต้องเรียนและปฏิบัติภาวนาคู่กับศึกษาคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคู่กันจนกว่าจะถึงสิ่งสูงสุดที่เรียกว่า “พระนิพพาน”

ตู่

 

. . .

 

ได้ฝึกฝน ขัดเกลากิเลส ที้งที่รู้ และเพิ่งได้รู้จากการเขียนภาวนา ฝึกละกิเลส ละข้ออ้างต่างๆ ฝึกให้อภัย ฝึกเป็นครู ฝึกเลือก ฝึกโยนิโสมนสิการ ฝึกในรูปแบบ ทั้งหมดเกิดขึ้นใน 4 เดือนที่มีคุณค่า และทำให้เส้นทางการภาวนา ชัดเจนขึ้นมากค่ะ ได้ตระหนักว่า การรู้ทุกขลักษณะ ในทุกรูปแบบการภาวนา และในชีวิตประจำวัน คือสิ่งที่ควรฝึกรู้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจสัจจธรรมที่แท้จริง แล้วผลลัพธ์จะตามมาเองตามเหตุปัจจัยค่ะ
จะนำความรู้ความเข้าใจที่ได้ ฝึกตนเองต่อไปและส่งต่อเป็นพลังดีๆให้สังคมค่ะ
ขอบคุณครูโอเล่ ครูมุก ครูตุ้ม ครูตุ๊ดตู่ และเพื่อนๆทั้งหมด และเหตุปัจจัยอื่นๆทั้งหมดที่พามาถึงวันนี้นะคะ
กราบขอบคุณจากใจค่ะ

หลิน

. . .

 

 

 

1.ได้ฝึกวินัย ความเพียร ความอดทน ทำในสิ่งที่ตัวเอง กล่าวข้ามความขี้เกียจ
2 ฝึกความวางใจเป็นกลาง ไม่ใช้อารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน เรียนรู้อารมณ์ปรุงแต่งที่ชอบมาหลอกล่อเป็นประจำ คิดให้เป็นกลาง การไม่คิด หรือทำแบบที่เราคาดหวังไว้ ไม่ควรเป็นเอามาเป็นอารมณ์เป็นทุกข์ รู้ว่าเกิด แล้วให้หยุดให้ทัน อุเบกขาให้ได้ตามความเป็นจริง
3. การลดทอนอัตตาตัวตน ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย แม้แต่ความว่างก็ยังไม่มีตัวตน
การฝึกภาวนาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ควบคุมไม่ได้ ชัดเจน ได้นำไปใช้เวลามีคนมาแนะนำหรือตำหนิ ก็ยังคงปรุงแต่งตามความเคยชิน แต่ก็ฉุกคิดว่า ไม่พูด ไม่ต้องแสดงว่ารู้ก็ได้ ปล่อยไป เราทำดี ไม่ต้องพูดให้คนรู้หรอก ทุกสิ่งจะปรากฎเอง
4. ความหลง โมหะ เป็นตัวพาไปกิเลสทุกตัว ต้องพยายามรักษาสมดุลตามความเป็นจริงให้พอดี โดยฝึกให้ต้องมีสติ สมาธิ ที่เพียงพอให้เกิด อุเบกขา อย่างเป็นกลางโดยแท้ ฉะนั้น ไม่ว่ากิเลสตัวใดมา จะมากน้อยหรือมาทีหลายตัวก็ต้องพยายามายืนอยู่ในมรรค 8 ให้จงได้
5. การเป็นครูยากจริง ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย จะเป็นครูที่ดีต้องทำตัวให้รู้ก่อน แล้วจึงแนะทางคนอื่นได้ คำตอบคือ เป็นครูให้ตัวเองก่อนเลย
ขอบคุณหลักสูตรนี้ ทั้งครูใหญ่ ครูจิ๋ม ครูทุกคน ที่แบ่งปัน และช่วยเป็นแรงกระตุ้นให้ผ่านการเรียนรู้นี้ได้เป็นอย่างดี

จัน

. . .

ทราบถึงเหตุที่ทำให้ทุกข์ – สร้างตัวตน และอัตตามาปกป้องปมด้อยของตัวเอง หลงผิดคิดว่าถ้าเรามีเกราะมาปกป้องเรา เราจะไม่เจ็บ แต่แท้ที่จริงเกราะนั้นนำมาซึ่งความทุกข์
การเขียนภาวนาเป็นการฝึกให้เรามีสมาธิ เราฝึกอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน ฝึกไม่ให้จิตจมดิ่งลงไปปลักอยู่กับอดีต หรือทะยานไปอยู่ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะจิตเราไม่ “ฟุ้ง” จึงทำให้เราไม่ “เหนื่อย” ผลพลอยได้ทางอ้อมคือ ประสิทธิภาพของหน้าที่การงานมีคุณภาพมากขึ้น สามารถยืดระยะเวลาการทำงานของแต่ละวันให้ยาวขึ้น โดยไม่เหนื่อย เบื่อ หรือมีความรู้สึก “เซ็ง” เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เราไม่ปรุงแต่งจิต และอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นในขณะที่ทำงาน เราผ่อน (พัก) ในขณะที่เราปฏิบัติหน้าที่ (เหมือนการเขียนภาวนา – เขียนเฉพาะหายใจออก)
ก่อนที่จะมาเรียน “ครูเขียนภาวนา” กังวลกับอนาคตของตัวเองไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ หรือความหวังที่เราไปฝากไว้กับคนรอบข้าง แต่หลังจากที่ได้เรียนคอร์สนี้ เข้าใจถึงไตรลักษณ์อย่างแท้จริง (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อเข้าใจถึงไตรลักษณ์ จึงสามารถหยุดตัวเองที่จะเอาจิตของเราไปผูก ไปแบก และไปคาดหวังกับทุกสิ่งที่ไม่มีตัวตน
“ครูเขียนภาวนา” ทำให้เราลดตัวตน และออกมาจากพื้นที่ส่วนตัวที่เคยปิดกั้นไว้ ขอขอบคุณเพื่อนที่จับคู่เรียนทั้ง 2 คือ น้องแอนนา (ณ นภา) Naphaphatsorn Kwangkhwang และน้องเอ (น้ำใส) Raphassa Manachaiphaiboon ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากมายจากน้อง 2 ท่านนี้ น้องทั้ง 2 เป็นแรงผลักดันให้เรากลับมามองที่ตัวเอง กลับมาทลายกำแพง ตัวตน และพื่นที่ “ส่วนตัว” ที่เราหวงแหนและปกป้องมาตลอดชีวิต ผลักดันให้อ่านหลักธรรม โดยถามคำถามเพิ่มเติมและทำให้เราต้องกลับไปค้นคว้า อ่าน ทบทวน และนำมาปฏิบัติ ความมุ่งมั่นของน้อง 2 ท่านนี้เป็นตัวอย่างและกำลังใจให้เราเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ท้อถอย และที่สำคัญที่สุดน้องทั้ง 2 เป็นกัลยาณมิตรที่ดี มีความห่วงใยในขณะที่เรามีปํญหา ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ เป็นกำลังให้เราเดินหน้าต่อ ขอขอบคุณน้องทั้งคู่ค่ะ
ในระยะเวลาที่เรียนมากับครูโอเล่ Kru’Ole AnurakMenrum ครูทำหน้าที่เป็น “ค้อน” ทุบและกะเทาะกิเลสที่ฝั่งแน่นมาเป็นเวลาแรมปี แต่ในขณะเดียวกัน ครูทำหน้าที่เป็นเสาให้เราพิง เป็นหลุม และเปลือกห่อหุ้มให้เราคลานกลับไป “หลบภัย” แต่ที่สำคัญที่สุด ครูทำหน้าที่เสมือน “พ่อแม่” ที่เลี้ยงเราให้โต ให้เราสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง ครูเป็นแสงสว่างส่องทางให้เราเห็นพระธรรม ให้เข้าใจในอริยสัจ 4 – ชี้ให้เห็นทุกข์ สมุทัย (สาเหตุของทุกข์) นิโรธ (วิธีการดับทุกข์) มรรค (แนวปฏิบัติที่จะนำไปถึงความดับทุกข์) และสอนให้เราเป็นครูของเราเอง (ครูเขียนภาวนา) ขอบคุณค่ะครูโอเล่
ครูเป็นเสาให้เราได้พิงพัก
ครูเป็นเปลือกใยไหมที่หุ้มห่อ
ครูเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้าบนท้องฟ้า
นำทางเราออกมาจากความมืด
เพื่อสู่เส้นทางพระธรรมนำทางชีวิต

หัทยา ปู

 

. . .

 

(1/3) คำถามชุด 1 ข้อ 2 : สิ่งที่ได้ฝึกฝน ขัดเกลา และเรียนรู้จากคอร์ส ครูเขียนภาวนา

aสิ่งที่ได้ฝึกฝน ขัดเกลา ได้เรียนรู้
-การขัดเกลาตัวตน การละลดทิฎฐิมานะ ตัวตน
-ความสำคัญทำไมต้องละตัวตน
-การสังเกต ดูกาย ใจ ตามสภาวะจริงที่เกิดขึ้น การยอมรับ ไม่ตัดสินตีความ กับสิ่งที่เกิดขึ้นไปในทางน่าพอใจ /ไม่น่าพอใจ
-การภาวนา โดยผ่านการเขียนอักษร ผ่านการกำกับด้วยลมหายใจ
-การนั่งสมาธิ ที่สังเกตพิจารณากิเลส นิวรณ์ ธรรมที่ปรากฏในรายละเอียด
-การจดบันทึกและการตีความจากสิ่งที่ได้จากบันทึก การสอบอารมณ์ ในรูปแบบต่างๆ ผ่านตัวอักษร ทั้งลายมือ แบบฟอร์ม ถาม ตอบ การสะท้อน
-ได้ฝึกการสื่อสารที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำตรงจากความคิดความรู้สึกมากจนเกินไป ปรับโทน (คือศิลปะ และเมตตา)
-ขันติ ความอดทน การตัดอารมณ์(โดยเฉพาะเรื่องความไม่ชัดเจนตรงประเด็นที่ทำให้เกิดการตีความได้หลายแง่มุม)
-ความยืดหยุ่น เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม
-การเปิดใจรับรู้ ใคร่ครวญ สารที่ถูกสื่อสาร สะท้อนมา เพื่อการพัฒนา ปรับปรุงตน
-วินัยความรับผิดชอบต่อประโยชน์ส่วนรวม การทำภารกิจร่วมกันก่อน ไปตามเก็บคะแนนส่วนตน ซี่งก็เป็นความรับผิดชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตน(การฝึกเพิ่มและได้รับการสอบอารมณ์) ที่ต้องสมดุล
-การค้นพบ เมตตา ที่มั่นใจว่า ยังคงมี และเลยไปถึงขั้น อุเบกขา เกิดการปล่อยวาง จากใจ ได้แท้จริง
-การเรียนรู้ ต่างจาก การเรียน หรือ การรู้เฉยๆ และการฝึกสอนคือหนี่งในการเรียนรู้ ที่แท้จริง
-เห็นถึงความสำคัญของการฝึกสอน เห็น/ รู้จักอัตตา วิธีการปล่อยวาง/ ละอัตตา
-เข้าใจความหมายของคำว่ามานะลึกซึ้งขึ้น (เปรียบทั้งนอก เปรียบทั้งใน) เห็นเหตุและการส่งผลของมันชัดเจนขึ้น
-เห็นเหตุที่ต้องมีความตั้งใจในการฝึกสอน เพราะทำให้เกิดการใคร่ครวญที่ลึกซึ้ง ตกผลึก ขณะสะท้อนสภาวะที่เกิดในเขาก็ได้เห็นและเข้าใจสภาวะที่เกิดในเราด้วย (เหมือนได้กำลังความชัดจากแว่นขยายคือการสะท้อน) เห็นเหตุปัจจัย-ผล ทำสิ่งใด ได้สิ่งนั้น ณ ขณะนั้น เลย ไม่ใช่รอผลปลายทาง ฝึกมากเห็นมาก ตั้งใจกับภารกิจ ก็เข้าใจภารกิจมากขึ้น ส่งผลให้เข้าใจภายในนี้มากขึ้น

(2/3) -เห็นปมประเด็นในตัวเอง ขณะสะท้อน ทำให้แยกแยะ ปมประเด็นต่างๆเหล่านั้น ได้ชัดเจนขึ้น เช่น ความหวังvsความคาดหวัง, มานะตัวตนแฝงเนียน(จิ้งจอก), ตัณหา อุปาทาน ในทุกรูปแบบ
-รู้ว่า มีธรรมใดที่ได้สัมผัสแล้ว เจริญแล้ว ชิมลองแล้ว เพียรต่อ ต่อยอดได้, ธรรมใดที่ยังไม่ถ่องแท้ เป็นปมประเด็นต้องรู้ เพียรพัฒนา กันต่อไป
-transference /defensive mechanism และสิ่งบิดเบือนการรับรู้แบบตรงไปตรงมา ต่างๆ นั้นคงไม่เกิด ถ้าไม่มีตัวไม่มีตนเข้าไป ขณะเป็นผู้สอน และผู้ถูกสอน
-เข้าใจความหมาย: ความหวังvsความคาดหวัง ผลกระทบที่ต่างกัน
-เห็นลิง(ซนมาก)vsหมาจิ้งจอก(เจ้าเล่ห์มาก) บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ฝึกได้ เฝ้าสังเกต และเรียนรู้ /เข้าถึงอย่างลึกซึ้งได้
-สิ่งสะท้อนจากรูปแบบ/เจตนา การสื่อสาร เช่น การเงียบ จัดเป็น สติหรือ ถือตัวถือตนอย่างหนึ่ง?, การให้ความเห็น -ยกลอย(อารมณ์) vs ตามหลักฐานอ้างอิง เป็นต้น
-การตีความระหว่างบรรทัด บางสิ่งที่ไม่ตรงประเด็น ก็คือ ประเด็น ที่น่าใส่ใจ
-อุเบกขาแท้จริง จากใจ ปล่อยโดยวาง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย
-การสะท้อนจริงใจต่อความรู้สึกตนแต่ต้องใช้สติเลือกคำเพื่อการสื่อสาร
-การถาม -ตอบ เป็นวิธีหนึ่งของการฝึกสติ
-การถาม-ตอบ, การสะท้อน สามารถบ่งบอกสภาวะผู้ถาม-ตอบ และสะท้อน ได้: ดูนอกได้(เห็น)ใน
-การสะท้อนเป็นการเปิดโอกาสให้ปัญญาญานภายในทำงาน: คำตอบเพื่อเขา อาจคือคำตอบในเรา
-ได้เรียนรู้ มุมมองต่าง ซึ่งหลายครั้ง แก่นของเรื่องคือเรื่องเดียวกัน
-ยังมีสิ่งที่ไม่รู้(ทั้งที่ยังไม่รู้จริงๆและหลงคิดว่ารู้แล้ว) อีกมาก ฟังก่อน ลองก่อน
-เมื่อตัดสินใจเรียนรู้ จงเป็นผู้เรียนรู้ (ทุกแง่มุม)
-เริ่มเห็นอาการส่งจิตออกนอกเป็นเช่นไร เกิดผลเช่นไร
-เริ่มเข้าใจธรรมที่เป็นธรรม ธรรมที่ไม่เป็นธรรม
-การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดการทบทวนในตนมากขึ้น ลึกขึ้น
-ไม้เรียวล่องหนของครู ช่างเจ็บนัก
-เข้าใจด้วยตนเองมากขึ้น เป็นครูต้องไม่กลัวโดนเกลียด และเหตุใดการละตัวตน จึงสำคัญ ยิ่งโดยเฉพาะเป็นครู และ
นักเรียนที่ดีไม่ใช่ผู้ยอมเชื่อตามโดยขาดปัญญา หากคือ ยอมทำตามเพื่อการเรียนรู้ -พิจารณา ใคร่ครวญ วิเคราะห์ วิจัย ตาม
ฝึกฝน ขัดเกลา จนเกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง

(3/3) ความรู้สึก

-รู้สึกถึงความฝึกฝืนในเกือบทุกช่วง ไม่ว่าจะการปรับจูนในเรื่องนิยามความหมายที่เคยรับรู้มาก่อน ในช่วงต้น, กลไกการหลีกเลี่ยง การป้องกันตัวภายในบางอย่างที่ไม่อยากเผชิญ โดยเฉพาะการที่ต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับกิเลสผู้คน/ตน ในช่วงแรกของฝึกสอน
สภาพร่างกาย หน้าที่การงาน กิจกรรม ความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ที่โยงใยเกี่ยวข้อง ระหว่างทำภารกิจ แต่ที่สุดก็รู้สึกปล่อยวาง เมื่อไม่คาดหวังผล และดูเหมือนความเป็นตัวเป็นตนจะลดน้อยลง เบาลง จากความเข้าใจ และขัดเกลาผ่านกระบวนการเรียนการสอน
-รู้สึกขอบคุณในความรู้ ปัญญาญาน เมตตาและขันติของครูโอเล่
-รู้สึกขอบคุณในความเมตตา ความรักที่จะขัดเกลาและพัฒนาของเพื่อนๆทุกคนที่ร่วมสอนและเรียนรู้ร่วมกัน
-รู้สึกชัดเจนขึ้น กับธรรมะในเชิงความเข้าใจผ่านการปฎิบัติ ความถึง/เข้าใจธรรมสดๆที่เกิดขึ้นภายในตน
-รู้สึกถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิด ดับ สลับไป ไม่ได้คงตัวอยู่เช่นนั้น จึงพบความจางคลายในความอยากยึด (ยังไม่หมด หากตระหนักขึ้น และเบาบางลง)

เหล่ง

 

. . .

 

จากการเรียนคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” ผ่านมาสี่เดือน พบว่าตัวเองค่อย ๆ พัฒนาได้ดีขึ้นเป็นลำดับ
จากทุกกิจกรรมที่ครูกำหนด ทั้งการเขียน การปฏิบัติธรรมในรูปแบบ การฝึกวิเคราะห์ การออกแบบโจทย์ การฝึกสอนที่ได้เป็นทั้งครูและนักเรียน ทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนพาเราเดินทางสู่ภายใน
เรียนรู้ลมหายใจ รู้ปัจจุบันขณะ ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ค้นหาตัวตนหลากหลายที่ซุกซ่อนอยู่
คนมักโกรธ คนชอบตัดสิน คนชอบนินทา คนชอบที่จะเปลี่ยนแปลงและลงโทษผู้อื่น คนชอบหวาดกลัว คนชอบวิตกกังวล ทั้งหลายเหล่านี้ มีและเป็นอยู่ในตัวเราทั้งหมด ซึ่งเป็นชนวนที่ก่อความทุกข์มากมายให้กับชีวิตที่ผ่านมา
ระยะทางสี่เดือนที่เดินสู่ภายในตัวตน กับคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” พาเราเข้าไปค้นพบ ทักทาย เผชิญหน้า ยอมรับ ทำความเข้าใจ ผ่านการภาวนาทั้งในและนอกรูปแบบนั้น
เสมือนน้ำเย็นเข้าไปชโลมรด ลดความรุนแรงของน้ำมันที่พร้อมติดไฟในตัวตนหลากหลายเหล่านี้ ให้เหลือน้อยลง ชนวนความทุกข์ถูกตัดทอน ไม่เพิ่มมากขึ้น ความสงบเย็นเข้าไปแทนที่ อย่างรู้สึกและสัมผัสได้ชัดเจนจากการดำเนินชีวิตในทุก ๆ วัน
การเริ่มต้นใหม่ให้ดีได้เกิดขึ้น จากการปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิแบบอานาปานสติติดต่อกัน แม้เพียง ๑๓ ครั้ง ๔๘๕ นาที นั้น ทำให้ก่อเกิดเป็นนิสัย เป็นวินัย ที่นำไปเป็นความพากเพียรตั้งใจปฏิบัติเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตรงนี้ทำให้เราเข้าใจกฎไตรลักษณ์ ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากขึ้น เพราะแม้ลมหายใจที่เราเข้าไปยึดติดว่า จากรูปแบบลมหายใจอันหลากหลายของเรา
รูปแบบที่เลือกนี้จะนำความสงบมาให้ ผ่านไปไม่กี่นาที มันก็เปลี่ยนแปลงเป็นความอึดอัดเสียแล้ว อย่างนั้นแล้วเราจะไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งของ ผู้คน ในโลกภายนอกใดได้เล่า ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้น แปรเปลี่ยน และดับไป เช่นนั้นเสมอ
นอกจากการปฏิบัติภาวนา ที่เป็นพื้นฐานของการดำรงสติ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว แบบฟอร์มทบทวนการปฏิบัติธรรม ก็นับว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่ได้รับจากการเรียนคอร์สนี้
ซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งน้อมนำใจให้ลงมือปฏิบัติภาวนาในรูปแบบทุกวัน หลักสำคัญคือการใช้เป็นกำลังใจ เป็นข้อมูลในการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าได้เป็นอย่างดี ขอบคุณค่ะครู Kru’Ole AnurakMenrum ????????
(เคยลองไม่ทบทวนลงแบบฟอร์ม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิ
ล่องลอยหายไปในอากาศ ไม่เหลืออันใดเลย การนั่งครั้งนั้นเหมือน
สูญเปล่า)
ท้ายที่สุดนี้ …
ขอขอบคุณครู Kru’Ole AnurakMenrumที่มอบโอกาสดี ๆ นี้มาให้ ขอบคุณมากค่ะ ????????????
ขอขอบคุณ คู่ร่วมฝึกสอนทั้งสองคน แมงป่อง สารพัดพิษ Naphaphatsorn Kwangkhwang ที่มากด้วยมิตรไมตรี รักและปรารถนาดีต่อกันค่ะ ????????????
ขอขอบคุณเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคน ที่ร่วมเดินไปด้วยกันบนเส้นทางสายนี้ นะคะ ????????????

เนาวรัตน์ ปู

 

. . .

 

 

สิ่งที่ได้ฝึกฝน ขัดเกลา และเรียนรู้จากคอร์ส “ครูเขียนภาวนา”
มีอยู่วันหนึ่งมีสิ่งที่เรียกว่า ปิ๊งแว็บ!!! เกิดขึ้น เห็นในความคิดที่เคยได้ตัดสินใจลงไปแล้วว่า ไม่เป็นกลาง ไม่ยุติธรรมต่อบุคคลอื่น ซึ่งคิดว่า เป็นผลมาจากการสะสมการภาวนาที่ผ่านมาเป็นเวลาสามเดือนอย่างต่อเนื่อง กำลังจะบอกว่า เมื่อตอนที่ตัดสินใจ ว่าได้พิจารณาอะไรตามความเป็นจริง ตามสภาพ ณ ขณะนั้น อย่างเป็นกลาง แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ ตราบใดที่จิตยังไม่ละเอียดพอที่จะมองเห็นกิเลสที่เข้ามาครอบงำ โดยเฉพาะกิเลสที่ชื่อว่า โมหะ-ความหลง ทิฏฐิ และมานะ เข้ามากล้ำกราย อย่างชนิดที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว การฝึกภาวนาชนิดเข้มข้นทำให้จิตละเอียดขึ้น มองเห็นกิเลสต่างๆ ที่มีอยู่ในตัว เห็นแบบแผน เห็นมุมมองในการมองโลก การแก้ไขปัญหาที่มาจากแรงขับภายในหมายถึงตัวตน โดยมีเพื่อน ผู้ทำหน้าที่เป็นครู และครูใหญ่ (ครูโอเล่) คอยเป็นกระจกสะท้อน พลัดกันส่อง ฉายให้กลับมาพิจารณา ทบทวน
เมื่อมองเห็นแล้วอย่างไรต่อ ภาวนานำมาซึ่งการได้รับประสบการณ์ตรง เข้าใจรากเหง้าของปัญหา แล้วยอมรับปัญหา สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีภายในตัวเอง จากนั้นสร้างความพร้อม พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น การยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจะค่อยๆๆๆๆๆ คลายลง นั่นแหละสิ่งที่ได้จากการฝึกฝนตัวเองในคอร์ส “ครูเขียนภาวนา”
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณคุณครูใหญ่ และคุณครูน้อยทุกท่าน แม้มิเคยได้พบหรือเห็นหน้ากันมาก่อน ที่ได้ช่วยเป็นกระจกเงาในการสะท้อนให้เห็นตัวตน และร่วมกันเป็นพลังให้การเรียนรู้ในครั้งนี้ผ่านมาได้

วิ

 

. . .

 

สิ่งที่ได้จากการฝึกฝน ขัดเกลา และเรียนรู้ ครูเขียนภาวนา ได้ฝึกความอดทน ความเพียร ได้ลดอัตตาตัวตน ของตัวเองลงเยอะมาก ได้เห็นว่าตัวเองมีจุดบกพร่องมีสิ่งใดที่ต้องเพียรลดละอีกมากน้อยเพียงไหนได้ฝึกภาวนามากขึ้น ได้เห็นจิตตัวเองมีความมั่นคงศรัทธาด้านภาวนาเพียงใด ได้ฝึกการอยู่กับปัจจุบันในสิ่งที่ทำขณะจิตนั้น ได้นั่งสงบลดภาวะจิตใจที่วุ่นวายจากการทำงานทางโลก ลดความเครียดลงได้ตามแต่ขณะนั้นเห็นอารมณ์และจิตใจที่หลากหลายภาวะของตัวเองเห็นได้จากแบบฟอร์มการเขียนภาวนาค่ะ
ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจเรียนคอร์สครูเขียนภาวนา ขอบคุณคอร์สนี้ คุณครูใหญ่ ครูน้อย พี่ๆเพื่อนๆ ทุกคน ที่ทำให้ได้ฝึกสะท้อนซึ่งวิเคราะห์ตัวตนและได้ศึกษาธรรมะต่างๆมากขึ้นจากที่เคยรู้มาบ้างแล้วแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติทบทวนให้เห็นภาพคมชัดขึ้นและบางหัวข้อได้ต่อยอดและทบทวนธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น รักคอร์สครูเขียนภาวนามากมายค่ะ❤️❤️

กลอย

. . .

สิ่งที่ได้ฝึกฝน คือ การภาวนา ตั้งแต่การฝึกฝืนใจในการเขียนตามลมหายใจออก ที่ครูค่อยๆกำกับให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ ๒ คำต่อ ๑ ลมหายใจออก จนในเดือนที่สี่นี้ สามารถเขียน ๑ อักษรต่อ ๓ ลมหายใจออก
ระหว่างทางได้เพิ่มการสังเกตกิเลสที่เกิดขึ้นของระหว่างการเขียน ปลดปล่อยการยึดติดที่ตัวอักษร กำกับสังเกตกิเลสและกุศลธรรมที่เกิดขึ้น
สิ่งที่ได้ขัดเกลา คือ กิเลสของตน ผ่านการสังเกตการเกิด ตั้งอยูและดับไปของกิเลสแต่ละตัว ทั้งของตนเองและของนักเรียนที่เป็นคู่ฝึก โดยมีพื้นฐานตั้งแต่การวิเคราะห์บันทึก จนถึงการวิเคราะห์การส่งอารมณ์ตามแบบฟอร์ม
การฝึกวิเคราะห์ สังเกตนี้ทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ของกุศลกรรมและอกุศลกรรม ว่าต่างเป็นกรรม ที่สุดไปคนละทาง การขัดเกลาจึงอยู่ที่การดำเนินทางสายกลาง และถ้ามีโอกาสก้าวหน้าขึ้นไป ก็คงเป็นการวางทุกอย่างได้ เพราะเห็นธรรม
สิ่งที่ได้เรียนรู้ คือ การอยู่กับปัจจุบัน ด้วยสติและสัมปชัญญะ การได้เรียนในคอร์สครูเขียนภาวนานี้ ทำให้เราสามารถ “ภาวนา” ในทุกขณะได้ ทุกลมหายใจออกสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ แม้บางครั้งบางคราเราประมาทพลั้งเผลอ เพลินใจ เรายังสามารถเปิดโอกาสให้ตนเองกลับมาสู่การภาวนาได้เสมอ
เรียนรู้จากคู่ของตน และเพื่อนในคอร์ส ว่าทุกคนต่างมีความทุกข์ ความสุข มีวิธีการหนีทุกข์ ดับทุกข์ ที่ในภาพรวมแล้ว เราเองก็เคยทำอย่างนั้นมาแล้วทั้งสิ้น เมื่อเห็นจึงวางได้ง่ายลง
แม้นวันนี้ ยังมิอาจก้าวข้าม โลภะ โทสะ และโมหะที่มากในตน แต่ก็ตระหนักถึงวิธีการดำเนินชีวิตในทางสู่การดับทุกข์ ผ่านการเพียรภาวนาค่ะครู
ขอบคุณค่ะ
ต้นหญ้า สิริลักษณ์ ปู

. . .

สิ่งที่ได้ฝึกฝนขัดเกลา และเรียนรู้จากคอร์ส ครูเขียนภาวนา…
เหตุผลที่เลือก บันทึกหัวข้อนี้ ความไม่มีกบ มาเป็นสิ่งที่ประทับใจที่สุดเป็นเพราะว่า ในตลอดระยะเวลา 3 เดือนนี้ที่ผ่านมานั้น ตัวเองต้องต่อสู้กับความเคยชินแบบเดิมๆ แพ้บ้าง ชนะบ้าง ตลอดระยะเวลาดังกล่าว แม้แต่เดือนสุดท้ายกับภารกิจ การนั่งสมาธิให้ได้ตามเวลาที่ครูกำหนดนั้น เป็นความยากที่สุดของชีวิตตั้งแต่ที่เคยปฏิบัติธรรมมาค่ะ การได้เขียนบันทึกนี้ บนจิตใต้สำนึกระหว่างเขียนนั้น ทำให้เห็นว่า ตนเองเหมือนกบ ที่มีคนชวนให้ทำดี ปฏิบัติดี(ภาวนา) ใจก็รับรู้ แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจไปทางดี 100% อันปราศจากการลังเลสงสัยใดๆ และการไม่มีการผัดผ่อนเวลากับตัวเอง เสมือนกบที่มันชอบกระโดดออกไปจากจานที่ถูกจับมาให้อยู่ มันซุกซน ไม่อยู่กับที่ และการที่จิตซุกซน หรือเป็นสมาธิได้ไม่นานนั้น ก็มาจากการปฏิบัติไม่สม่ำเสมอของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า เราตัดสินใจทำมันแล้ว ลองดู แม้ในที่สุดจะไม่ผ่าน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และต้องทำไปจนสุดทางของชีวิตนั่นคือสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง
การได้ฝึกภาวนาผ่านรูปแบบต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ยังช่วยตัวเองค่อนข้างมากกับการปล่อยวางผลลัพธ์และความคาดหวังบางอย่ ถือตนน้อยลง ลดการเปรียบเทียบเรา-เขา ทำให้เกิดความเข้าใจตัวเองลึกซึ้งขึ้น และเห็นผู้อื่นด้วยความเป็นมิตร ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ก็แอบเผลอไปอยู่กับความคิดนะค่ะ แต่ตอนนี้เห็นทันมันอยู่ เหมือนพากบกลับบ้าน พาจิตที่ระหว่างวันมัวแต่ยุ่งวุ่นวายต่างๆ นานา พากลับบ้าน ที่สงบ สุข เบา สบาย ซึ่งความรู้สึกนี้ แสดงถึงความพร้อมในการเริ่มภารกิจสุดท้ายต่อไป

บุศร์

. . .

สิ่งที่ได้ฝึกฝน ขัดเกลา และเรียนรู้จากคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” พร้อมกับเลือกภาพบันทึก 1 ภาพ
สิ่งที่ได้ฝึกฝนคือการมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น เมื่อลงปฏิบัติกิจรรมไม่ว่าจะด้วยความอยาก และความไม่อยาก แต่ก็เพื่อเป้าหมายที่จะเข้าใจ และนำไปปรับใช้ ในชีวิตจริง ยังระลึกถึงจุดหมายในการสมัครเรียนไว้เสมอ
เราได้ขัดเกลานิสัยเดิมๆ เช่น ความกลัว ความไม่กล้า ความมีตัวตน เหล่านี้ล้วนได้เผชิญ ขจัดและยังไม่หมดไป แต่เราพอมีทักษะในการจัดการได้ดีขึ้น ด้วยการถอยออกมาพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลาง ยังคงต้องขัดเกลาเรื่องการทำสมาธิภาวนาต่อไป แต่ที่ผ่านมานั้นก็ภูมิใจในตัวเอง และเกิดความสงบในเวลานอน
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคอร์สครูภาวนา คือความช่างสังเกต เห็นพฤติกรรมตัวเอง ต้องเพิ่มความใส่ใจในรายละเอียด ทุกกิจกรรมที่สอนให้เรามีความเพียร และธรรมะ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมดอย่างถ่องแท้ แต่ก็อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นแล้ว พอจะสืบค้นต่อไปได้
การได้ฝึกวิเคราะห์ตนเอง และวิเคราะห์ผลงานของเพื่อน ทำให้เราได้ใช้ความรู้ ประสบการณ์ที่เรามี และได้เรียนรู้ตัวเราเอง และได้เอื้อเฟื้อให้เพื่อนได้แลกเปลี่ยนกัน และเพื่อนคือตัวอย่างของความมานะเพียรพยายาม ที่ปลูกจิตสำนึกให้เราเลียนแบบในทางที่ดี
ขอเลือกส่งภาพบันทึกอนุสติ เป็นบันทึกแรกที่ใช้ตัวหนังสือเปลี่ยนไป และใช้เวลานานขึ้นค่ะ
ขอบคุณคุณครู และเพื่อนๆ ทุกคนนะคะ

ชิ

. . .

จากกิจกรรมต่างๆในคอร์ส “ครูเขียนภาวนา” ทำให้ได้รู้จักการภาวนาที่แสนจะเรียบง่าย มีเพียงความตั้งใจกับลมหายใจก็ภาวนาได้แล้ว แต่ในความง่ายนั้นก็มีความยากอย่างที่สุดอยู่ คือการที่ต้องฝืนกิเลสตัวเอง ต้องละวางจากการทำตามใจ ทำตามอารมณ์ตนเอง ต้องก้าวข้ามความคิดที่คอยหลอกเราอยู่เสมอว่า เรายังไม่เก่งพอ เราภาวนานานขนาดนั้นไม่ได้หรอก และเมื่อเราฝึกฝืนที่ให้เวลาแก่ตัวเองในการภาวนาแล้ว ในขณะที่เราอยู่กับตัวเองด้วยความรู้สึกตัวนั้น เราก็ได้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นกับกายเรา กับจิตเรา ทั้งสิ่งดีหรือไม่ดีก็ตาม เห็นการเกิดขึ้นและการดับไปของกิเลส เห็นความอยากความยึดกับการปฏิบัติธรรมเพื่อหวังให้เราเป็นคนดี คาดหวังว่าตัวเราจะก้าวหน้าในทางธรรม อยากที่จะบรรลุธรรม เห็นตัวเองว่าเราวางเป้าหมายของการภาวนาให้เป็นไปเพื่อเพิ่มอัตตาตัวตนมากกว่าการละวางตัวตน
และสิ่งที่ได้รับจากการฝึกภาวนาในคอร์สนี้ (ตามที่ครูเคี่ยวเข็ญ) คือ การมีจิตที่เป็นปกติธรรมดาที่สุดในการเผชิญกับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะด้านสุขหรือทุกข์ เมื่อใดที่จิตหวั่นไหว เราก็จะกลับมาพิจารณาว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในใจเรา และเมื่อเราไม่ได้ให้ความสำคัญมั่นหมายแก่สิ่งนั้น มันก็จะดับสลายลงไปเองตามธรรมชาติ
ขอบคุณพลังกลุ่มจากเพื่อนๆที่ทำให้การเรียนรู้ครั้งนี้ลึกขึ้นไปอีก ขอบคุณคู่ฝึกสอนที่ช่วยสะท้อนให้เห็นความเป็นไปในจิตตัวเองชัดขึ้น ขอบคุณครูโอเล่ที่คอยชี้แนะแนวทางและทำให้เกิดความกระจ่างในทุกเรื่องค่ะ

นก

 

. . .

 

ตลอดสี่เดือนที่ได้ฝึกฝน เริ่มเข้าใจที่จะ “ฟัง เห็น ดู” โดยไม่ปรุงแต่ง และนำมาปฏิบัติในชีวิตมากขึ้น มีสติดี หนักแน่นขึ้น เข้าใจอุเบกขาในแง่มุมใหม่ต่างจากเดิม รู้วิธีเรียก “ความมั่นคง” จากกายและใจ และเห็นกิเลสที่ไม่เคยสัมผัสผุดขึ้นมามีอิทธิพลต่อตนเอง เกิดความสงสัยว่ามาจากไหนและเกิดได้อย่างไร มาเข้าใจเมื่อได้อ่านบทเรียนเสริมบทสุดท้ายนี่เอง การได้รู้จักการโดนอัตตาหลอกครั้งนี้ มีประโยชน์ต่อการปฏิบัติต่อไปในอนาคต

จิ๋ม

. . .

สิ่งที่ได้ฝึกฝนคือ ความวิริยะ เห็นกำลังของตนเองที่จะทำบางสิ่งได้หากมีความตั้งมั่นพอ แม้ว่าจากคอร์สนี้เรายังมีความวิริยะที่น้อยไปสักหน่อย ได้ฝึกฝนทักษะการตั้งคำถามเพื่อสอบอารมณ์ ฝึกฝนการจับประเด็นและสังเกต รวมทั้งต้องฝึกวางอุเบกขาเพื่อวิเคราะห์ ทบทวนด้วยใจเป็นกลาง
สิ่งที่ได้ขัดเกลาคือ การยึดติดในกาม ความพอใจความรักสบาย (ขี้เกียจ) ซึ่งเป็นคราบฝังแน่น แม้โดนขัดถูเพียงเล็กน้อยก็โอดโอย แต่ก็ทำให้เห็นว่านี่คือสิ่งที่ยึดติดมานาน และยากกำจัดออกไปในคราวเดียว
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคอร์สครูเขียนภาวนา คือพลังของเมตตานั้นชุ่มเย็น เมื่อเราได้รับรู้ถึงความเมตตาแล้ว เราก็รู้สึกว่าอยากจะส่งต่อหรือตอบแทนความเมตตากลับไปด้วยจากครูที่ร่วมฝึกสอนด้วยกันค่ะ

มุก

 

. . .

มีหลายอย่างที่ได้จากคอร์สนี้
๑. สติที่ไวขึ้นในการสังเกตอาการ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด หรือแม้กระทั่งกิเลสก็ตาม
๒. ความเพียรการปฏิบัติที่มีมากขึ้น ทำให้การทำสิ่งอื่นๆ ในชีวิตประจำวันมีความเพียรเพิ่มขึ้นด้วย
๓. ความอดทนที่จะอยู่ในสิ่งที่ไม่ชอบไม่พอใจ หรือสิ่งที่อึดอัด สุดท้ายก็พบว่ามันไม่มีอะไรเลย แค่จิตของเราในตอนนั้น มันมีทิฏฐิ
๔. ผลพลอยได้จากการฝึกสมาธิ ทำให้เกิดปัญญาในการเห็นความเป็นจริงของชีวิตเป็นครั้งคราว รวมทั้งพบเจอหนทางในการรับมือกับปัญหาในชีวิตได้ดีขึ้น

ส่วนรูปภาพนั้นแม้ดูเผินๆ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับคอร์สนี้สักเท่าไหร่ แต่สำหรับผมแล้วมันมีความหมายที่ทำให้ผมได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้ มันช่วยทำให้ผ่านอุปสรรคในการเรียนได้ ครั้งที่เกือบจะออกจากการเรียนมันช่วยทำให้ตัดสินใจอยู่ต่อ
ถึงแม้ว่าการผ่าตัดมันอาจจะภาพที่ไม่ค่อยดี แต่เมื่อเจ็บป่วย การผ่าตัดมันย่อมจะช่วยให้เราดีขึ้น เหมือนกิเลสหรือสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราได้รับการผ่าตัดออกไป มันย่อมจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่มันก็เกือบตัดสินใจพลาดเหมือนกัน ต้องขอบคุณคู่ของผม คือ คุณหลินที่ช่วยทำให้เราได้ทบทวนมันดูดีๆ จนกระทั่งนำมาซึ่งการตัดสินใจเรียนต่อและก็ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้
ก็เหลือเพียงบททดสอบสุดท้ายที่ว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้หรือไม่

คณัส

. . .

สิ่งที่ได้ฝึกฝน ขัดเกลา และเรียนรู้จากคอร์ส “ครูเขียนภาวนา”
ได้ฝึกฝนความมีวินัยและการลงมือทำที่สม่ำเสมอ เรียนรู้การเกิด-ดับของสภาวะธรรมทั้งหลายทั้งที่ได้จากตนเองและเพื่อนๆที่ร่วมเรียนรู้ด้วยกัน รู้สึกโชคดีที่มีครูคอยชี้แนะนำทาง ระหว่างทางเห็นอัตตาที่มีมากล้นโผล่มาชักชวนให้พอกพูนความเป็นตัวตนมากขึ้นไป และเห็นความตั้งใจที่มุ่งขัดเกลาละวางตัวตนด้วยเช่นกัน ด้วยรู้ว่าหนทางนี้นั้นไม่ง่าย แต่ไม่ยากเกินความพยายามและอดทนค่ะ
ขัดเกลาสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นหมายมั่นว่ามีเราเป็นคนทำ สิ่งที่ทำแล้วเป็นของเรา สิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง ความคิด ความเชื่อเหล่านี้ค่อยๆถูกทำให้กระจ่างและชัดเจนขึ้นผ่านการฝึกฝนตลอด ๔ เดือนที่ผ่านมาว่าสิ่งทั้งหลายที่เรายึดมั่นนั้นมันไม่เที่ยง มีการแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดที่เป็นเรา เป็นของเราเลย แต่ด้วยใจที่ยึดมั่นจึงก่อให้เกิดทุกข์ เมื่อเห็น ยอมรับ ปล่อยวางได้ ไม่หลงไปกับอดีต หรือกังวลกับอนาคต อยู่กับปัจจุบันขณะ ใจเราจึงสงบและเป็นสุขค่ะ
เรียนรู้ว่าเราสามารถล้มและลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ การล้มเหลวจากการได้ลงมือทำไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป ช่วยส่งเสริมให้เรามีความกล้า และรู้ว่าพลังของสติสัมปชัญญะช่วยในช่วงเวลาวิกฤติได้เพียงใด จึงตั้งใจฝึกฝนในเส้นทางนี้อย่างใจเย็นและอยู่ในทางสายกลางมากขึ้น ไม่เร่งรัดอย่างที่ผ่านมา ความเมตตาที่ได้รับจากครูทุกท่าน เพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกัน และจากตัวเองเป็นพลังและกำลังใจที่ทำให้ก้าวต่อไปด้วยใจที่มั่นคงและศรัทธาที่เต็มเปี่ยมในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ค่ะ

เอ

 

. . .

 

>>> ติดตามกิจกรรมและบทความได้ที่ www.dhammaliterary.org