“จากการทบทวนตัวเอง คิดว่าตัวผมเองไม่มีความกล้า ความคิด ความเป็นตัวของตัวเองมากพอเนื่องจากการติดเพื่อน ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบทำอะไร อยากเป็นอะไร ได้แต่ทำตามคนโน้นที คนนี้ทีตามเพื่อนไป ไม่กล้าที่จะลอง กลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น และการที่ของขวัญคือแม่กับน้อง ยิ่งทำให้รู้ชัดเจนขึ้นว่า ไม่กล้าพอที่จะอยู่คนเดียว กลัวการต้องเผชิญสิ่งต่างๆคนเดียว ในหลายๆครั้งที่ไปเรียนงานที่อาจารย์สั่งให้ทำมันเกี่ยวกับตัวเราเอง ผมกลับไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร เพราะว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบรึอยากทำอะไรจริงๆจังๆ ได้แต่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมาตลอด ทั้งที่ก็คิดได้ว่าตัวเองขาดสิ่งนี้ อยากจะรู้ว่าตัวเองชอบ มีความสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่มันก็ติดตรงที่ไม่กล้า ไม่ชอบทำอะไรคนเดียวเลยไม่ได้เริ่มทำแล้วก็กลับมาวนอยู่ที่เดิม
ปัญหานี้แม่ผมก็ทราบจึงได้คอยช่วยหางานต่าง ๆให้ทำ ซึ่งมันสามารถช่วยได้บ้าง ถึงแม้มันจะยังไม่ค้นพบว่าชอบอะไร อยากทำอะไร แต่มันก็ยังดีที่ได้ทำสิ่งอื่นนอกจากนั่งเล่นเกมส์ ปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆอย่างไร้ประโยชน์ ผลลพลอยได้อีกอย่างคือทำให้แม่สบายใจมากขึ้น ไม่กังวลแบบเมื่อก่อนว่าโตขึ้นลูกชายจะอยู่ยังไง ใช้ชีวิตยังไงเพราะว่าวันๆหนึ่งไม่ทำอะไรนอกจากเล่นเกมส์กับเที่ยวเล่น
ในการทำงานที่แม่หามาให้ทำมันช่วยให้การความคิดโตเป็นผุ้ใหญ่มากขึ้น ปัญหาเดิมความกลัวโน่น กลัวนี่เวลาจะเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ น้อยลง กล้าคิด กล้าตัดสินใจมากขึ้น จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรืออยากทำอะไร แต่ผมมั่นใจว่าสามารถทำสิ่งต่าง ๆได้มากกว่าเดิมเนื่องจากได้ทำงานหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ลองทำสิ่งต่าง ๆ ถึงแม้จะไม่นานแต่มันก็ยังจำได้อยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานมันทำให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เปรียบตัวเองเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถนัดรับคำสั่งมาทำมากกว่าการที่จะคิดและลงมือทำเอง หรือทำตามบุคคลรอบข้าง ตั้งแต่เด็กไดแต่ลองทำตามพี่ ๆ เพื่อน ๆเห็นเค้าทำกันเราก็ลองทำตาม จนโตมาก็ยังเป็นเหมือนเดิมได้แต่ทำตามคนใกล้ตัว ค่อย ๆซึบซับมาบ้าง แต่มันก็มีข้อดีคือการได้ค้นหาตัวเองไปในตัวเหมือนกัน ถ้าทำตามแล้วรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบ ก็เลิกทำแล้วไปหาสิ่งอื่นทำ
ถึงจะได้ลองทำสิ่งต่างๆ มันก็ยังไม่ใช่ตัวของตัวเองอยู่ดี แม้จะมีบางอย่างที่ได้ทำแล้วรู้สึกดีแต่ความพอทำไปเรื่อย ๆ กลับเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่ก็กลับไปจุดเริ่มต้นใหม่คือลองทำสิ่งอื่นอีกครั้ง”
/ นายอธิวัฒน์ อะโสโก มหาวิทยาลัยบูรพา
“ดอกหญ้าเหมือนจะไม่มีค่าให้กับใคร แต่ก็มีให้สำหรับตัวเองเสมอ ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และรู้สึกว่าตัวเองมีค่าอยู่เสมอ ไม่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองไม่มีค่า ชีวิตนี้ร่างกายนี้พ่อแม่สร้างมาจะไม่มีค่าได้อย่างไร และทุกคนก็ล้วนมีค่าในตัวเองอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ใครจะมองเห็นมันหรือไม่ หรือเห็นมันมากน้อยเพียงใด และการที่จะให้คนอื่นมาให้ค่าหรือเห็นค่าในตัวเรานั้น ฉันคิดว่าเราก็ต้องให้ค่าหรือเห็นค่าในตัวเองก่อนนะ ต้องทำให้ตัวเองมีค่าซะก่อน ถ้าทำตัวไม่มีค่ามันก็คงไม่มีค่า และคนอื่นก็คงไม่เห็นค่า ฉันคิดว่าทุกอย่างมันต้องเริ่มจากตัวเราเอง และถ้ามันจะจบก็คงจบที่ตัวเราเองนี้แหล่ะ และอีกอย่างคือฉันเป็นคนง่ายๆสบายๆ แต่ไม่ใช่ว่าแบบอยู่ไปวันๆนะเป็นคนมีเป้าหมาย และก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทะเยอทะยาน บางครั้งก็รู้สึกนะว่ามันทะเยอทะยานมากเกินไปหรือเปล่า มันเลยทำให้รู้สึกแบบเหนื่อย แล้วอีกอย่างก็คือไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีเท่าไหร่ แต่ถ้าถามตรงๆว่าพอใจไหม มันก็พอใจนั่นแหล่ะในสิ่งที่มันมีอยู่แล้วหรือดีอยู่แล้ว แต่มันก็ยังพยายามหาในสิ่งที่มันยังไม่มี หาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ หลายๆคนที่รู้จักหรือที่สนิทๆกับฉันก็จะบอกอยู่เสมอว่าหยิ่งๆ เพราะเป็นคนชอบแก้ไขด้วยตัวเอง เวลามีปัญหาก็จะมีแต่พ่อแม่ที่รู้ บางเรื่องพ่อแม่ยังไม่รู้เลย เพราะไม่อยากเล่าไม่อยากบอก มันทนไม่ได้ที่จะเห็นพ่อแม่ไม่สบายใจ ชอบแก้ไขอะไรๆด้วยตัวเอง เริ่มจากตัวเองก่อน คิดว่าต้องลองแก้ด้วยตัวเองก่อน ถ้ามันไม่ไหวจริงๆก็ค่อยปรึกษาคนที่ไว้ใจหรือสนิทที่คุยด้วยแล้วสบายใจ อีกอย่างคือความเข็มแข็ง เพื่อนที่สนิทๆกับฉันจะทราบดี แต่บางช่วงเวลาก็มีบ้างที่อ่อนแอ แต่ฉันก็ใช้เวลาไม่นานในการก้าวผ่านปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ”
/ นางสาวกฤติยาภรณ์ ยังถาวร
“จากสองบันทึกแรก ในวันนี้ดิฉันได้เห็นตัวเองได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองเป็นคนใจร้อน เอาแต่ใจ รักสนุกกับเพื่อนๆ ทำอะไรก็เพื่อน เพื่อนมาก่อนเสมอ ไม่เคยนึกถึงพ่อแม่ตัวเองเวลาทำอะไรที่ไม่ดีลงไป ไม่แคร์ความรู้สึกใครนอกจากตัวเอง ชอบใช้อารมณ์เป็นการตัดสินทุกอย่างการทำงานร่วมกันกับเพื่อนในห้อง ซึ่งในช่วงวัยรุ่นนั้นการดำเนินชีวิตค่อนข้างเสี่ยงถ้าดีก็ดี ถ้าไม่ดีก็ไม่ดีเลย และในวันนี้ดิฉันก็เข้าใจชีวิตมากขึ้นเมื่อได้มองย้อนกลับไปในช่วงนั้นว่าการที่เราเป็นวัยรุ่นนั้นต้องรู้จักการใช้ชีวิตไม่ได้เพียงแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ หรือการที่ทำอะไรแล้วตัวเรามีความสุขถึงแม้มันเป็นสิ่งไม่ดีเราก็ทำไปโดยไม่นึกถึงคนรอบข้างอย่างครอบครัวของเราว่าเขาจะเสียใจไหม เราไม่สนใจ หากเป็นอย่างนั้นแล้วชีวิตของเราก็จะพบแต่ความทุกข์ใจในที่สุด ในวันนี้ดิฉันจึงเข้าใจว่าการใช้ชีวิตนั้นต้องมองหลายๆ สิ่ง หลายๆ ด้าน ไม่ได้มองแค่มุมๆเดียวที่เห็นว่าเรามีความสุขคนเดียวแค่นั้นพอ ต้องหัดมองคนรอบข้างของตัวเราด้วยว่าเขามีความสุขกับเราไหม ทำอะไรอย่าใจร้อนค่อยๆ ทำอย่างมีสติไม่ใช้อารมณ์ในการทำอะไร เพราะไม่มีใครที่ทำอะไรด้วยความใจร้อนแล้วจะสำเร็จ แล้วอีกหนึ่งอย่างในการดำเนินชีวิตประจำวันให้มีความสุขทุกๆวัน คือ การทำอะไรโดยนึกถึงพ่อแม่ก่อนเสมอและทำอะไรเพื่อครอบครัวของตัวเราเองบ้างก็จะพบกับความสุขที่แท้จริงกับการใช้ชีวิตของเรา…
ดิฉันจึงได้เอารูปเรือที่ลอยอยู่ในทะเลมาเปรียบกับชีวิตของดิฉันคือการที่เราทำอะไร ควรจะใจเย็นไม่ใช้อารมณ์หรือทำอะไรในเวลายังมีอารมณ์โกรธ โมโหอยู่ในขณะนั้น ถ้าเราระงับอารมณ์ของเราไว้ได้เราก็จะทำอะไรก็สำเร็จลุล่วงได้ดี ก็เหมือนกับตอนที่ฉันผ่านอุปสรรคเรื่องร้ายๆเหล่านั้นมาได้ ก็เพราะฉันได้รู้จักการควบคุมสติ อารมณ์ร้อนทุกอย่างลงได้ เราก็จะมองเห็นถึงปัญหาที่แท้จริง พอใจเย็นลงทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคเราก็สามารถข้ามผ่านมันไป เราสามารถที่จะควบคุมตัวเราได้ง่ายกว่าที่จะไปควบคุมสิ่งอื่นๆที่เกิดขึ้นกับเรา แค่รู้จักการควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้เราก็จะทำอะไรได้ง่ายขึ้น ก็เหมือนเรือที่ต้องเจอทั้งพายุและคลื่นลม เรือไม่สามารถที่จะควบคุมหรือออกคำสั่งกับพายุหรือคลื่นลมได้”
/ นางสาวกรกนก เพชรอุดม