หายใจเข้า เราเติมความรักลงในตัวเรา ด้วยลมหายใจนี้ เพราะการหายใจคือความรักที่เรามีต่อตนเอง และการมีชีวิตอยู่
หายใจออก เพราะภายในเราเปี่ยมเมตตา เราจึงใช้ชีวิตอย่างมีความรักต่อตนเอง งาน สิ่งต่างๆที่เราลงมือทำ ต่อเพื่อนชีวิต และต่อสิ่งแวดล้อม
เราใช้ชีวิตอย่างเมตตาตนเองมากเพียงใด ผลปรากฏผ่านความสุขความทุกข์ขณะวันเวลา และสัญญาณชีวิตต่างๆ ความเมตตาคือการปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น บ่อยครั้งเราเชื่อว่าตนเองหวังดีต่อชีวิต แต่เหตุใดการไขว่คว้า พฤติกรรม และความนึกคิด กลับทำร้ายตัวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก
ดั่งการจรดปลายปากกาชีวิตลงหน้ากระดาษของวันคืน เมื่อน้ำหมึกเต็มด้วยโทสะและความเกลียดชัง แม้ภาพคำปรากฏสวยงามแต่ก็เป็นยาพิษแก่ตนและผู้อื่น
หายใจเข้า เราอาจเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นไม่มากพอ เมล็ดพันธุ์แห่งกิเลศภายในเติบโตบดบังจากความสุขที่แท้จริง สิ่งที่เราลงมือทำอาจมีความหวังดี แต่มิได้นำสู่ความสุขที่สมดุล หรืออาจไกลห่างจากเป้าหมายที่แท้จริง เพราะเรายังขาดเมตตาต่อตนเอง เราอาจไขว่คว้าหรือดื่มกินสนองความอยากชั่วครั้งชั่วคราว ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับก่อทุกข์ระยะยาวหรือสร้างปัญหาตามมา
หายใจออก เมื่อเราเติมความรักลงในกายใจ เมตตาดั่งน้ำเจือจางยาพิษในปากกาชีวิต สิ่งที่เราเขียนลงหน้ากระดาษหนังสือหรือวันคืน ย่อมก่อความสุขที่ลึกซึ้งและเกิดคุณค่าแท้
เราลองพิจารณาพฤติกรรมของตนเองด้านต่างๆ สิ่งเหล่านั้นสะท้อนว่าเรามีเมตตามากเพียงใด ทั้งต่อตนเองและสิ่งรอบข้าง แม้เราสังเกตว่าชอบดูแลตนเอง มีพื้นที่ส่วนตัวเหมาะสม แต่กระทำต่อสิ่งของหรือคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจ นี่ย่อมเป็นสัญญาณบอกว่าเรายังขาดเมตตา แม้ดูแลตนหลายด้าน แต่บางด้านอาจละเลยทอดทิ้ง
เมื่อเรากลับมาใส่ใจตนเองอย่างรอบด้านและลึกซึ้งเท่านั้น เราจึงสามารถรดน้ำแห่งความรักลงในผืนแผ่นดินของการมีชีวิตอยู่ คนมักรักตนเองเพียงบางด้านที่ถูกใจ เช่นเดียวกับที่ยอมรับด้านที่ถูกใจตนของคนอื่น เพราะเราขาดความใส่ใจมากพอที่จะหยั่งเห็นคุณค่าหรือสิ่งดีงามที่ซ่อนอยู่ในด้านลบของเขา แล้วเราเองอาจหลงลืมว่า เบื้องหน้าก็คือกระจกที่สะท้อนตัวตนของกันและกัน เราจึงยังมิได้เมตตาต่อตนเองทุกๆ ด้าน
หายใจเข้า แม้มารร้ายก็ต้องการความรัก แท้แล้วผู้คนที่หลงผิดก่อสิ่งเลวทราม ก็มิใช่เพราะหัวใจกำเนิดมิดดำ แต่เพราะคราบไคลเกาะกุมหรือเมล็ดพันธุ์แห่งกิเลศงอกปกคลุม เพราะมิอาจใส่ใจตนเองได้ดีพอ และมิอาจได้รับรักจากคนรอบข้างมากพอจะหล่อเลี้ยงสิ่งดีงามให้เติบโต
เมตตาคือหยดน้ำแห่งรัก เมื่อเราเติมเมตตาให้ตนเอง เรากำลังรดน้ำหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ที่ดีงาม แทนที่เราจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์อันชั่วร้ายให้เติบโตด้วยความโกรธ ความอยาก และการหลงผิด
หายใจออก เราสามารถแปรเปลี่ยนทุกวันคืนของชีวิตเป็นพรหมวิหารของตนเองและผู้อื่นได้ ด้วยการลงมือทำทุกสิ่งด้วยความใส่ใจ และมอบความรักแก่ตนเองสำหรับทุกขณะการกระทำ
บางครั้งเราเฝ้ารำพันต่อโลกและชีวิตว่าหมองหม่น ไร้รัก และน่ากลัว แต่เราได้หลงลืมว่า ผืนแผ่นดินแห่งนี้เราร่วมหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงร่วมกัน ด้วยความโกรธ ความอยาก และความหลงผิดที่มีอยู่ในหัวใจของเราแต่ละคน ทว่าขณะเดียวกัน บ่อน้ำแห่งความเมตตาก็มีอยู่แล้วในหัวใจนี้ เราจะเลือกสื่อสาร กระทำ และคิดเพื่อบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แบบใดในตนเองและผู้อื่น
บางครั้งเราหัวเสีย ใจกระทบหวั่นไหว ต่อการขาดเมตตาของคนอื่น เราปกป้องตนด้วยการเอาคืน ปะทุวาจารุนแรงและอารมณ์ซัดใส่ เพราะหัวใจเราเศร้าหมอง เราไม่ผิดที่ปกป้องตนเอง แต่สิ่งที่เราตอบโต้ไปนั้นคือการรดน้ำยาพิษให้แก่หัวใจของเราและเขา เช่นนี้แล้วเมล็ดพันธุ์แห่งกิเลศทั้งสองก็งอกงามขึ้นกว่าเดิม
ณ หน้ากระดาษสมุดชีวิต เราเลือกได้ให้พื้นที่แห่งนี้ จะเป็นวิหารแห่งความรัก หรือเป็นปราสาทแห่งความเศร้าหมอง เมื่อเราจรดปลายปากกาตอกย้ำอารมณ์ลบร้ายอย่างขาดความใส่ใจ เรากำลังสาดยาพิษกระจายไปในหัวใจเราและผู้อ่าน แต่เมื่อเราเลือกที่จะเขียนเพื่อใส่ใจดูแล และเติมเต็มความสุขที่สมดุล เมื่อนั้นแล้วงานเขียนก็คือแปลงที่งดงามด้วยดอกไม้แย้มบาน
เติมความสุขลงในหน้ากระดาษ มิใช่เพียงการแสวงหาหรือเขียนความสุขลงในหน้ากระดาษหรือชีวิตเท่านั้น แต่การทบทวนความทุกข์และข้อผิดพลาด ด้วยใจที่ใส่ใจและใคร่ครวญด้วยปัญญา แปรเปลี่ยนสิ่งลบให้เป็นปุ๋ยบ่มเพาะ เราก็กำลังรดน้ำความรักลงในกายใจด้วยเช่นกัน
หายใจเข้า คอยพิจารณาว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำได้นำมาซึ่งความสุขอันสมดุลหรือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่ สิ่งใดหนอได้ก่อโทษ สิ่งใดรดน้ำยาพิษแก่หัวใจกัน ทุกถ้อยคำที่ลิขิตช่วยเติมเต็มคุณค่าชีวิต สร้างความตระหนักรู้และเข้าใจ หรือหมกมุ่นอย่างขาดสติ เรากำลังลงมือทำหรือกล่าววาจานี้เพราะปรารถนาให้ตัวเรามีความสุขอย่างแท้จริงหรือไม่
หน้ากระดาษและพื้นที่ชีวิตของเรา สามารถเป็นพรหมวิหารของตนและคนอื่น เมื่อเราให้ความรักและการใส่ใจอย่างรอบด้าน เมื่อเราปรารถนาดีอย่างลึกซึ้ง และให้ทุกการกระทำของเราสอดคล้องกับเป้าหมาย
หายใจออก สิ่งใดที่ให้โทษ สิ่งใดพาเราหลงทางจากเป้าหมายอันแท้จริง หรือสิ่งใดคือยาพิษหล่อเลี้ยงเมล๋ดพันธุ์แห่งกิเลศ ขอให้มองที่มือและหัวใจ เราคือคนสวนและเจ้าของพรหมวิหาร จะรักษาหรือตัดถอนพืชพันธุ์ใด เลือกอย่างเห็นคุณค่า
สำหรับผู้สนใจการเขียนเพื่อพัฒนาตน ชีวิตที่ผ่านมาเราอาจบอกรักกับใครต่อใคร หรือแสดงการชื่นชมสิ่งต่างๆ มากนักแล้ว ลองให้พื้นที่เพื่อบอกรักและความปราถนาดีต่อตนเอง ทั้งด้านคุณและด้านโทษแห่งตัวเรา เขียนลำนำจดหมายหรือบันทึกทบทวนถึงตน และหมั่นกอบเก็บสิ่งดีงามของคืนวัน บันทึกให้เราจดจำและใส่ใจ
เช่นนี้แล้วปลายนิ้วมือหรือด้านปากกาก็คือบัวรดน้ำแห่งเมตตา ต้นไม้ของกุศลในใจเรายังต้องการการหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ เมื่อเราปรารถนาดีต่อตนเองอย่างแท้จริง เราย่อมเห็นคุณค่าและใส่ใจดูแล
ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต
คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #18