พลังทั้งห้า

 

หายใจเข้า  เราน้อมพาอากาศและธาตุนานาเข้าสู่ร่างกาย ผ่านช่องทางหายใจและประตูต่างๆ เติมเชื้อพลังแก่ชีวิต เหมือนใส่ฟืนไม้หรือถ่านสู่เตา

หายใจออก  เราจุดพลังในตนเองเฉกเช่นจุดไฟฟืน ปะทุความร้อนเป็นเปลวกระพือ ก่อนนำพลังออกมาใช้เพื่อกิจวัตรและกิจกรรมของตน  เหมือนการจุดไฟเพื่อประกอบอาหารหล่อเลี้ยงชีวี

การเขียนก็เป็นเช่นการประกอบอาหาร เราต้องใช้พลังลงมือทำ ผลักดันให้ปากกาลากเส้นลิขิตอักษร เกิดเป็นงานเขียนชิ้นหนึ่ง ซึ่งท้ายสุดสิ่งนี้จะบ่มพลังในตัวผู้เขียนและผู้อ่านอีกด้วย

ชีวิตจะก้าวไปข้างหน้าได้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้แหล่งพลังงาน เราต้องมีวิธียังพลังนั้นให้ให้คงโหมแรงพอพาเราก้าวไป  เปรียบชีวิตกับรถยนต์ เราเติมแก๊สหรือน้ำมันแล้วยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องมีไฟฟ้าจุดติดเครื่อง ต้องมีน้ำมันเครื่องคอยหล่อเลี้ยง และที่สำคัญต้องมีพลังของการขับขี่จึงจะควบคุมรถยนต์ให้เคลื่อนที่

หายใจเข้า พลังของชีวิตนั้นมีอยู่หลายด้าน จำเป็นต้องดูแลให้ครบถ้วนเหมาะสม พลังของชีวิตนั้นแลคือสิ่งที่จะสร้างสรรค์งานเขียน หากเราไร้ซึ่งพลังชีวิตแล้วย่อมมิอาจเขียนผลงานที่ดีได้ เพราะการสร้างสรรค์คือการเคี่ยวคั้นเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเราเป็นเชื้อไฟ เช่นร่างกายต้องมีพลังในการสร้างและซ่อมแซมส่วนต่างๆของเราตลอดเวลา พลังของชีวิตนั้นคือพลังของการสร้าง หากเรามิอาจหล่อเลี้ยงพลังชีวิตตนอย่างเหมาะสม ใช้ชีวิตสิ้นเปลืองพลัง เราย่อมแห้งเฉาเหมือนพืชผักขาดการรดน้ำ

หายใจออก ในทางพุทธศาสนา เราแบ่งพลังออกเป็นห้าส่วนด้วยกัน พลังเหล่านี้พาชีวิตเราเติบโตและก่อเกิดงานเขียนสร้างสรรค์

พลังอย่างแรกคือศรัทธาหรือความไว้วางใจ เมื่อเราพามือจับปากกา เราต้องวางใจในตนเองเพียงพอที่จะสร้างพื้นที่แห่งการเขียน ให้ความคิด ความรู้สึก และจินตนาการได้หลั่งไหลอย่างไม่มีการปิดกั้น วางใจว่าเรามีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์อยู่แล้วเพียงต้องให้โอกาสลงมือทำ  วางใจในทุกความหมายที่ถ้อยคำปรากฏ วางใจว่าหน้ากระดาษแผ่นนี้คือพื้นที่แห่งการดูแลตนเองและการเติบโต ศรัทธาต่อคุณค่าของตนเอง เราจึงปล่อยเรื่องราวได้เดินทาง  ศรัทธาว่าการเขียนจะพาเราพัฒนาชีวิตทั้งมิติความคิด จิตใจ ร่างกาย และด้านอื่นๆ  เราจึงเขียนเพื่อบ่มเพาะชีวิต

หายใจเข้า เมื่อเราวางใจเราจึงเริ่มลงมือทำ จรดปากกาขีดเขียน แล้วเราจำเป็นมีพลังแห่งวิริยะ คือความเพียรความพยายาม มีใจที่มุ่งมั่นจะสร้างสรรค์ผลงาน แม้ต้องผ่านความเบื่อ ความเหนื่อย ความติดขัดใดใด ความเพียรจะเป็นพลังพาเราแก้ปัญหา ฝ่าสายลมที่ต้านทานมือจับปากกาเราออกมาสู่บรรทัดต่อไป  เพราะระหว่างการเขียนนั้นย่อมมีจุดทดสอบหัวใจนักเขียนมากมาย

หายใจออก หากเราบันทึกเพื่อสะท้อนตนเอง เราย่อมต้องพบเผชิญประเด็นที่ยากจะยอมรับ ความรู้สึกอันหนักอึ้ง กระทั่งความตีบตันมิเห็นหนทาง  เราอาจรู้สึกเบื่อ สับสน อยากถอย  จนเมื่อเราดึงพลังแห่งวิริยะมากพอ เราจึงจะยืนหยัดต่อจุดหวั่นไหวนี้ ใช้โอกาสเพื่อเรียนรู้และก้าวข้าม

ผลงานเขียนสั้นๆ เราอาจต้องใช้ความพยายามมากโข เขียนครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าจะได้ชิ้นงานที่น่าพึงพอใจ สิ่งประดิษฐ์อันมีคุณค่าต่อชีวิตเราในปัจจุบันจำนวนมากล้วนผ่านความล้มเหลวมานานัปการ

การเขียนเพื่อบ่มเพาะชีวิตก็เช่นเดียวกัน เราอาจต้องบันทึกซ้ำในประเด็นเดิมมากมายหลายหน กว่าเราจะผ่านความตีบตันทางความคิดและความรู้สึกรู้สา เปิดประตูมุมมองใหม่ได้สำเร็จ

หายใจเข้า ระหว่างการเขียนนั้นเอง ความคิดและความรู้สึกต่างๆ จะปรากฏขึ้นแก่จิต หรือปะทะผ่านการรับรู้ต่างๆ เราต้องฝึกรับรู้อย่างรู้ทัน เพื่อเป็นนายปากกาที่แท้จริง มิใช่มีอารมณ์และการยึดมั่นทางความคิดเป็นนักเขียน  หลอกหล่อให้เราจรดปากกาไปในทิศทางที่ผิดพลาด หลงละเมอในเรื่องราว หรือจมปลักกับมุมมองด้านหนึ่งอย่างสุดโต่ง หากเรามิรู้เท่าทันตนในการเขียน เราอาจถูกความหมายบางอย่างครอบงำ งานเขียนเราอาจหลงประเด็น มีตัวอักษร ความสละสวยของคำ หรือความเท่ความเก่งพาไปหลงทิศทาง อาจบ่มเพาะความไม่รู้แก่ตนเองและผู้อ่าน

หายใจออก พลังนี้คือพลังแห่งสติ พลังที่จะพาเรารู้เท่าทัน  เราต้องฝึกทั้งในและนอกการเขียน รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะอย่างเปิดรับและใส่ใจ มองอย่างเป็นกลาง ฝึกจนรู้เท่าและทัน

พลังต่อมาคือพลังแห่งสมาธิ คือการมีใจตั้งมั่น จดจ่อ และติดตาม เรามิเพียงปล่อยให้หัวใจนำทางปากกาเท่านั้น เรายังต้องคอยติดตามหัวใจ ใส่ใจกับการเขียน

การจดจ่อตั้งมั่นทำให้เรามีความชัดเจน มีเป้าหมายมั่นคง ทำให้เราเห็นประเด็นสำคัญที่จะต้องขุดค้นลึกหรือเปิดเผย  ทำให้เราเขียนผลงานได้ต่อเนื่อง  ทำให้เราไม่วอกแวกจากหน้ากระดาษ เขียนไม่ผิด เขียนไม่พลาด ใส่ใจในทุกอักษรดั่งถ้อยคำอันสำคัญยิ่งทุกวรรคตอน

หายใจเข้า สมาธิที่ต่อเนื่องประหนึ่งการเชื่อมร้อยความไว้วางใจและการลงมือทำ เป็นกระแสธารไหลต่อเนื่อง นำการเขียนหล่อเลี้ยงหัวใจและนำทางไปข้างหน้า หากขาดสมาธิแล้ว หยดน้ำแห่งความคิด ความรู้สึก และการลงมือทำย่อมแตกกระจายไร้ทิศทาง

หายใจออก พลังที่ห้าคือปัญญา การคิด เหตุผล และการตรึกตรอง เรามิใช้ความรู้สึกหรือจินตนาการในการเขียนเท่านั้น เรายังต้องใช้ความคิดคอยเคียงข้างหัวใจ คัดกรองถ้อยคำ ร้อยเรียงเรื่องราว ออกแบบวางแผนเค้าโครง  หรือหากเราเขียนเพื่อทบทวนตนเอง เรามิเพียงระบายความรู้สึกลงกระดาษ แต่ต้องใคร่ครวญเพื่อเกิดบทเรียน

การบำบัดด้วยศิลปะการเขียนนั้น มิใช่การระบายหรือแสดงออกความรู้สึกเท่านั้น แต่ต้องมีสติหรือการรู้เท่าทันตนกำกับ มีวิริยะฝึกฝนตนเองและกล้าเผชิญความทุกข์ทน มีใจที่จดจ่อเป็นสมาธิเพื่อย้อนมองและใคร่ครวญด้วยปัญญาภายในที่เรามีอยู่

ด้วยพลังทั้งห้านี้ เราจึงเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดสิ่งงดงามบนหน้ากระดาษและในผืนดินหัวใจ

ขณะเดียวกัน การฝึกตนเองผ่านการเขียนย่อมมอบพลังทั้งห้านี้คืนกลับแก่เราและหล่อเลี้ยงเชื้อไฟแก่การเติบโต

หายใจเข้า  เมื่อเราลงมือเขียนจนคุ้นเคย เราก็เริ่มไว้วางใจมือของเราว่า มือนี้ขีดเขียนเป็นถ้อยคำเป็นคำได้ เราพอเขียนเป็นงานเขียนหรือบันทึกชิ้นน้อย  เราเขียนแล้วเกิดความรู้สึกพอใจหรือเป็นประโยชน์ เราย่อมเกิดศรัทธา  หากบันทึกเพื่อใคร่ครวญตนจนพบเห็นแง่งามต่างๆ ในชีวิต และข้อดีอันมีคุณของตนเองแล้ว เราก็ย่อมมีศรัทธาต่อตน ต่อชีวิต

เมื่อใจมีศรัทธาหล่อเลี้ยง เราย่อมมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์หรือลงมือทำสิ่งต่างๆ ความไว้วางใจนั้นพาให้เราก้าวไปข้างหน้าแม้จะมีความไม่มั่นใจ หรือแม้ไม่มีสิ่งใดไม่แน่นอน การวางใจทำให้ไม่ปิดกั้นตนเองด้วยความกลัวหรือความลังเลสงสัย  โลกมิได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด  ความจริงกับความลังเลเป็นคนละสิ่งกัน เมื่อเราลงมือทำเท่านั้น เราจึงจะค้นพบ

จากการเขียน เรายังได้ความเพียรพยายามอีกด้วย เมื่อลงมือทำอย่างตั้งใจ เราย่อมได้ฝึกฝนพลังแห่งวิริยะ ยิ่งเราทำมากแม้เหนื่อยและพลังกายลดรา แต่หยาดเหงื่อเหล่านั้นย่อมบำรุงเลี้ยงต้นไม้แห่งความอดทนกับความมุ่งมั่นตั้งใจในตัวเราให้งอกงาม

หายใจออก เมื่อเราเขียนด้วยใจที่รู้เท่าทันตน ฝึกสังเกตความรู้สึกและสิ่งที่สะท้อนผ่านการเขียน เราย่อมได้สติของชีวิตกลับคืน  เราย่อมไวต่อการหวั่นไหวของอารมณ์และการตัดสินใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

พลังของสติช่วยเรากำกับดูแลมิให้เราหลงหรือสุดโต่ง หนักในทางใดทางหนึ่ง เมื่อเรารู้เท่าทันเราย่อมไม่ตกเป็นเหยื่อของสิ่งต่างๆ มิว่าจะเป็นกระแสค่านิยมของสังคม ความคิดที่เอนเอียงไม่เป็นกลาง จนถึงความอยากในใจเรา

เมื่อเราลงมือเขียนด้วยใจจดจ่อ แม้อาจเริ่มด้วยความยาก เราอาจเขียนไม่กี่วรรคก็ติดขัดความคิด  จวบจนวิริยะและศรัทธาได้เป็นหลักหลอมรวมใจ พาใจพุ่งตรงด้วยสติดูแล  เราย่อมเริ่มเขียนได้ไหลลื่นมากขึ้น เขียนได้ติดต่อกันมากขึ้น เกิดสมาธิระหว่างลากเส้นอักษร น้อมนำความหมายให้เกิดขึ้นบนเนื้อดินหน้ากระดาษ มีใจที่จดจ่อลงมือทำจนสำเร็จ

การเขียนต้องใช้สมาธิ แต่ขณะเดียวก็ช่วยเพิ่มพูนสมาธิแก่เรา

การได้ฝึกความคิด ใคร่ครวญตรึกตรอง และตกผลึกปัญญา เราเองก็ได้เพิ่มพูนปัญญาทั้งด้านความเข้าใจและศักยภาพในการพิจารณาความจริงมากขึ้นด้วย  ปัญญาก็จะเป็นพลังนำทางชีวิตเราในด้านต่างๆ อย่างไม่ลุ่มหลง  ให้เราลงมือทำและตัดสินใจอย่างเข้าใจ  เปิดดวงตาเราจากฝุ่นฝ้า มองตนเองและโลกอย่างที่เป็นจริง

หายใจเข้า พลังทั้งห้าย่อมก่อเกิดพลังทั้งห้า ผ่านการเขียนและทุกกิจกรรมของชีวี สิ่งเหล่านี้มิได้มาด้วยการรอคอยปัจจัยภายนอก แต่เราต้องเติมพลังด้วยตนเอง ด้วยพลังที่มีอยู่ในตนเอง  หายใจออก

การฝึกฝนตนเองด้วยทิศวิถีนักเขียนหรือศิลปิน เราต้องเรียนรู้และฝึกหรือนำพลังทั้งห้านี้มาใช้ หากพลังใดขาดตกบกพร่องลง ย่อมมิอาจทำงานสร้างสรรค์หรือสรรค์สร้างชีวิตได้อย่างสมดุล  มีพลังแห่งศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ เราอาจหลงงมงายหรือเสพติดได้  เราจะมีปัญญาอย่างเดียวก็มิเพียงพอ เราอาจคิดมากสับสนหวั่นลังเล จะมีเพียงวิริยะก็จะวุ่นวายไม่รู้สงบ  มีสมาธิแต่ขาดการลงมือทำ ย่อมเฉื่อยเนือยและง่วงเหงา

ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นว่าเราจะพัฒนาตนเองเพื่อน้อมนำพลังทั้งห้าออกมาใช้ผ่านการเขียนบ่มเพาะตน ด้วยการลงมือกระทำอันยิ่งแล้ว ฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ ด้วยใจที่รู้ตัวและตามสังเกตตนเองระหว่างจรดปากกา ด้วยพลังแห่งการตั้งมั่น ใส่ใจจดจ่อทุกวรรควลี และด้วยพลังแห่งปัญญาภายใน พาเราไตร่ตรอง จนค้นพบบทเรียนด้วยตนเอง

ขอชวนพวกเราผู้สนใจการเขียนเพื่อบ่มเพาะตนหรือเพื่อพัฒนาชีวิต ลองบันทึกลงสมุดของเรา เขียนทบทวนตนเองว่า พลังทั้งห้านี้ เรามีสิ่งใดอยู่มากแล้ว มีสิ่งใดยังน้อยอยู่ การมีพลังหนึ่งมากอีกอันหนึ่งน้อยส่งผลอย่างไรต่อชีวิตที่ผ่านมา

บันทึกต่อว่า เราจะพัฒนาพลังทั้งห้านี้ในตัวเราเองอย่างไร มุ่งมั่นตั้งใจนำพลังมาใช้อย่างไร บันทึกด้วยใจใคร่ครวญ เขียนเป็นรูปธรรมและความรู้สึกนึกคิดชัดเจน  ลองใช้สีเพื่อระลึกถึงพลังแต่ละด้าน วาดระบายพลังทั้งห้าก่อนหรือหลังบันทึกด้วยถ้อยคำ

หายใจเข้า ระลึกถึงพลังทั้งห้าอยู่ในใจ ไตร่ตรองประโยชน์และบทเรียนจากบันทึกนี้  หายใจออก  ระลึกถึงการกระทำที่เราจะพัฒนาพลังทั้งห้าตนเอง

พลังที่สร้างสรรค์ พลังที่หล่อเลี้ยง จะเกื้อกูลและส่งมอบแก่ผู้คนรอบข้างกับสังคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสนามพลังอันกว้างใหญ่ เราคือพลัง และพลังนี้มิใช่ของเรา แต่จะเป็นส่วนหนึ่งของพลังที่ขับเคลื่อนโลก หมุนจักรแห่งธรรมอันเป็นนิรันดร์

ขอให้พลังจงสถิตอยู่ที่กาย วาจา และใจเรานี้เพื่อประโยชน์ตน เพื่อประโยชน์สังคม

 

11796320_927679923964042_5399740714703806334_n

 

ภาพประกอบจากการอบรมการเขียนบำบัดผู้ต้องขังเรือนจำโดยโครงการ

คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #10