มองโลกมุมใหม่ผ่านใจตากล้อง
คุณแวว วิภา สุขพรสวรรค์
งานเขียนต่อยอดจากบันทึกการอบรม “เขียน = ค้นพบตัวเอง”
20 ธ.ค. 2545 เป็นอีกวันหนึ่งที่คงจะอยู่ในความทรงจำของฉันไปอีกนาน วันนั้นเป็นวันที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทยมาเลย์นัดหมายเดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีที่สัญจรมาประชุมที่หาดใหญ่ทบทวนโครงการดังกล่าว
ฉันเคยมีประสบการณ์เข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ทั้งในฐานะผู้สังเกตการณ์และในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ฉันจึงเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดและคับแค้นใจของประชาชนที่ถูกแย่งชิงทรัพยากรจากผู้มีอำนาจโดยไม่เป็นธรรม ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจทำให้ฉันพร้อมที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน
ก่อนหน้านี้เคยมีการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการนี้มาแล้วถึงสองครั้ง และจบลงด้วยการที่ชาวบ้านล้มเวทีทุกครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากชาวบ้านมีความเชื่อว่าการจัดประชาพิจารณ์ดังกล่าว จะเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการมากกว่าการรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง ฉันเองได้ช่วยถ่ายวีดีโอทั้งสองครั้ง ครั้งนี้เพื่อนจึงโทรมาขอให้ช่วยถ่ายวีดีโอให้อีก แต่เพราะมีงานที่นัดหมายล่วงหน้าแล้วจึงปฏิเสธ แต่ตกลงจะให้เพื่อนยืมกล้องไปถ่ายเอง บังเอิญวันนั้นมีนักพัฒนารุ่นน้องสองคนที่มาช่วยงานอยากไปร่วมชุมนุมด้วย ฉันจึงตัดสินใจขับรถไปส่งและถือโอกาสเอากล้องวีดีโอให้เพื่อน ตั้งใจว่า เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจะเดินทางกลับบ้านทันที เราถึงหาดใหญ่ก่อนเวลานัดหมาย จึงรับรุ่นพี่อีกคนเพื่อไปกินข้าว แต่ยังไม่ทันได้กินก็มีโทรศัพท์จากเพื่อนบอกว่า ตอนนี้ตำรวจตั้งด่านสกัดไม่ให้ชาวบ้านเดินทางเข้ามาในหาดใหญ่ ด้วยความเป็นห่วงพวกเราจึงขับรถไปยังจุดดังกล่าว แต่เลือกเส้นทางลัดเนื่องจากคาดว่าเส้นทางปกติคงมีตำรวจสกัดอยู่ เมื่อไปได้ราวครึ่งทางเพื่อนโทรมาบอกว่าตำรวจยอมเปิดเส้นทางแล้ว ชาวบ้านกำลังเดินทางเข้าหาดใหญ่ให้พวกเราไปรอที่ทางเข้าโรงแรมซึ่งนายกฯ และคณะรัฐมนตรีพัก เรารีบกลับมายังจุดนัดหมาย ฉันตัดสินใจจอดรถห่างจากจุดนัดหมายราวสองร้อยเมตร เพราะเห็นว่าเริ่มมีรถยนต์จอดหลายคัน หากไปด้านหน้าแล้วไม่มีที่ว่างจะต้องขับรถเวียนหาที่จอดทำให้เสียเวลามากขึ้น เมื่อพวกเราทั้งสี่คนเดินไปถึงก็พบว่ามีตำรวจนับสิบนายใช้แผงเหล็กกั้นปิดเส้นทางเข้าโรงแรม พวกเราจึงรอดูสถานการณ์อยู่ในบริเวณนั้น
กว่าขบวนรถของชาวบ้านจะมาถึงก็เกือบสองทุ่ม เมื่อเจอแผงกั้นขบวนจึงหยุดรอให้แกนนำชาวบ้านและ นักพัฒนาเจรจากับตำรวจเพื่อขอให้เปิดเส้นทาง ระหว่างรอการเจรจาชาวบ้านบางส่วนนั่งลงกินข้าว บ้างก็ทำละหมาด บางส่วนก็ยืนจับกลุ่มติดตามสถานการณ์ ราวสองทุ่มครึ่งกำลังตำรวจชุดปราบจลาจลพร้อมกระบองและโล่ก็มาถึงแล้วเข้ามายืนเป็นแถวหน้า ระหว่างตำรวจและชาวบ้านจึงมีเพียงแผงเหล็กเป็นรั้วกั้นกลาง เมื่อยืนเผชิญหน้ากันสถานการณ์ก็ดูตึงเครียดขึ้น ฉันและเพื่อนๆ เริ่มมองหาจุดที่สามารถเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากฉันมีกล้องวีดีโอ จึงปีนขึ้นยืนบนกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นและเริ่มบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อการเจรจาขอเปิดทางล้มเหลวชาวบ้านเริ่มส่งเสียงไม่พอใจ ในขณะนั้นมีตำรวจนายหนึ่งเดินอ้อมมายืนหน้าแผงเหล็กในฝั่งชาวบ้าน พร้อมบอกให้ชาวบ้านถอยห่างออกไปจากแผงเหล็ก จากนั้นก็ตะโกนสั่งตำรวจปราบจลาจลให้เดินตามมา
“เร็วเข้าๆ อย่าชักช้า”
“ ตั้งสองแถว”
ในเวลาไม่กี่นาทีตำรวจปราบจลาจลก็มายืนตั้งแถวพร้อมที่จะเดินเข้าหาชาวบ้านในทุกวินาที เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ชาวบ้านและนักพัฒนาเริ่มรู้ว่าตำรวจกำลังจะเข้าสลายการชุมนุม ทุกคนในที่นั้นเริ่มวิตกกังวล เกิดความสับสนวุ่นวาย เสียงพูดคุยเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกน
“เราเป็นประชาชน”
“เรามาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ”
“เรามาดี เราไม่มีอาวุธ”
แต่เสียงของประชาชนก็ไม่สามารถหยุดยั้งตำรวจปราบจลาจลที่เคลื่อนเข้าหาตามเสียงนกหวีดสั้นๆที่เป่าให้จังหวะ มือหนึ่งใช้โล่ผลักดันส่วนอีกมือก็เงื้อกระบองฟาดเข้าใส่ผู้ชุมนุม
“พี่น้องอย่าตกใจ ขอให้อยู่ในความสงบ อย่าใช้ความรุนแรง”
“เจ้าหน้าที่ตำรวจครับ เรามาดี พี่น้องอย่าใช้ความรุนแรงเด็ดขาด”
เสียงจากรถขยายเสียงดังขึ้นซ้ำๆ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงไล่ทุบตีชาวบ้าน ชาวบ้านบางคนใช้ไม้คันธงตีตอบโต้ บ้างใช้สิ่งของที่อยู่ใกล้มือ รวมถึงข้าวห่อขว้างปาเข้าใส่เจ้าหน้าที่ เสียงจากรถขยายเสียงยุติลงเมื่อตำรวจบุกขึ้นไปยึดรถ ทุบตีรถจากนั้นจึงลากชาวบ้านและนักพัฒนาที่อยู่ในรถลงมา ตำรวจไล่ตีและผลักดันชาวบ้านจนแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง ในระหว่างที่มีการใช้กำลังผลักดันกันเพื่อนๆของฉันได้เข้าอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นการใช้กำลังสลายการชุมชนด้วยตาตนเอง ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ดูภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาฯ 16 6 ตุลาฯ 19 “พฤษภาทมิฬ” หรือครั้งอื่นๆ ฉันจะรู้สึกหดหู่โกรธแค้นผู้มีอำนาจ และสงสารเห็นใจประชาชนที่ถูกกระทำ ครั้งนี้ก็เช่นกัน จากจุดยืน ฉันย่อมเห็นอกเห็นใจชาวบ้านที่เรียกร้องความเป็นธรรมและเกลียดชังผู้มีอำนาจที่ใช้กำลังข่มเหงรังแก แต่ ณ เวลาที่ฉันมองเหตุการณ์ผ่านเลนส์กล้อง ฉันกลับไม่รู้สึกว่ามีตัวตน ไม่มีฝักไม่มีฝ่าย ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่มีมิตรไม่มีศัตรู ไม่รักไม่ชัง ฉันมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกเป็นกลาง เพียงแต่ฉันรู้สึกเหมือนเวลานั้นได้ถอดตัวเองออกมาเป็นเพียงคนดูที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตรงหน้า ฉันยืนบันทึกภาพเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ตลอดเวลาฉันไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นเต้นตกใจแต่อย่างไร มารู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อเหตุการณ์ความวุ่นวายเริ่มสงบลง รอบๆตัวฉันซึ่งก่อนหน้านี้มีคนยืนเบียดเสียดกัน บัดนี้เหลือฉันเพียงคนเดียว
ฉันมองหาเพื่อนๆที่มาด้วยกันพบว่าห่างออกไปราวหกสิบเมตร ตำรวจกำลังผลักเพื่อนฉันเข้าไปในรถลูกกรง ฉันรีบเดินเข้าไปหาแต่รถได้แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว ฉันงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังคิดว่าควรทำอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงทุบรถและเสียงกระจกแตกมาจากถนนใหญ่จึงวิ่งไปดู ก็เห็นตำรวจปราบจลาจลราวสิบนายกำลังเดินหน้าไล่ชาวบ้าน ขณะที่เดินไปก็ใช้กระบองทุบรถยนต์ที่จอดข้างทางไปด้วย คงเข้าใจว่ารถยนต์เหล่านั้นเป็นของผู้ชุมนุม ฉันรู้สึกตกใจมากเพราะรถของฉันจอดอยู่ไม่ไกลนัก ฉันรู้ว่าคงเข้าไปขัดขวางไม่ได้ แต่ก็ตัดสินใจถ่ายวีดีโอไว้ เพราะตั้งใจว่าถ้ารถถูกทุบก็จะหาทางเอาเรื่องตำรวจเหล่านี้ในภายหลัง แต่น่าประหลาดใจที่ก่อนจะถึงรถฉันไม่ถึงสิบเมตรตำรวจเหล่านั้นได้หันหลังเดินกลับมา รถฉันปลอดภัย
ตอนนั้นฉันยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก รู้สึกเคว้งคว้างไม่รู้จะทำอะไรต่อไป พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งยืนแอบในมุมมืดร้องเรียกและชวนฉันติดตามเพื่อนที่ถูกจับไป ทั้งๆที่ไม่รู้จะตามที่ไหนแต่ด้วยความห่วงเพื่อน เราสองคนจึงขับออกติดตามไป โชคดีของเราที่พบรถดังกล่าวกำลังเคลื่อนออกจากสนามกีฬาแห่งหนึ่ง จึงรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่ถูกขังในรถ พบว่ามีคนถูกขังสิบสองคน ทั้งหมดเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่นักพัฒนาทั้งสิ้น เราตะโกนคุยกับเพื่อนบนรถได้เพียงไม่กี่คำรถก็เคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว แม้จะรีบขับรถตามแต่ก็คลาดกัน เราสองคนกลับไปยังจุดที่ทราบว่าชาวบ้านที่ถูกผลักดันมารวมตัวกัน ชาวบ้านหลายคนบาดเจ็บจากการถูกทุบดีแต่ไม่กล้าไปรักษาที่สถานพยาบาล เพราะกลัวถูกจับ เพื่อนๆจึงช่วยปฐมพยาบาลกันไปตามมีตามเกิด ชาวบ้านต่างตกอยู่ในอารมณ์เสียขวัญและโกรธแค้น ทั่วบริเวณระงมไปด้วยเสียงร่ำไห้ของพวกผู้หญิง เสียงบอกเล่าถึงการปะทะและนาทีที่หนีเอาชีวิตรอด เสียงก่นด่าเจ้าหน้าที่และรัฐบาล มีบางคนจับกลุ่มปรึกษาหารือถึงการช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับกุม
คืนนั้นจึงผ่านไปโดยไม่มีใครหลับตานอนลง พอรุ่งเช้านักพัฒนาที่ทำงานด้านสื่อเริ่มรวบรวมภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่หลายคนบันทึกไว้ ฉันเอาเทปที่ถ่ายให้เขาคัดลอกไว้ พอช่วงสายฉันก็เดินทางกลับบ้าน
หลายเดือนต่อมาเมื่อมีการรวบรวมหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี ภาพเหตุการณ์ที่ฉันบันทึกไว้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันได้ว่าตำรวจเป็นผู้เริ่มใช้กำลังเข้าสลายการชุมชนของชาวบ้านที่รวมตัวโดยสงบและใช้สิทธิของตนเองตามรัฐธรรมนูญ แล้วยังเป็นหลักฐานที่ทำให้ศาลเชื่อว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้บริสุทธิ์และเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งสิบสองคนได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ
การเป็นผู้ถ่ายวีดีโอชุดนั้นอาจทำให้ฉันดูมีคุณค่าและความสำคัญมากขึ้นในความรู้สึกของบางคน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายใดๆต่อตัวฉันแม้แต่น้อย สิ่งที่มีคุณค่าและทำให้ฉันได้เติบโตมากขึ้นคือได้เรียนรู้ถึงความไม่ยึดติดมากกว่า หลังจากที่เทปวีดีโอที่ฉันถ่ายกลายเป็นหลักฐานสำคัญในทางคดี ได้มีหนึ่งในผู้ถูกจับกุมขอยืมม้วนเทปจากฉัน ด้วยเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเขาจึงได้ให้ยืมไป นานนับปีก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะคืนมา เพื่อนหลายคนบอกให้ทวงถามเพราะเห็นว่าเป็นผลงานที่มีคุณค่าซึ่งฉันควรเก็บไว้ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงติดตามทวงคืนเพราะยังยึดติดในความเป็นเจ้าของ ยิ่งเป็นงานที่สำคัญยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นความภาคภูมิใจ แต่ครั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่รู้สึกว่ามีตัวตนตั้งแต่ตอนถ่ายภาพ จึงไม่มีความรู้สึกว่าเทปม้วนนั้นเป็นของฉัน ตอนที่เขาขอยืมก็ให้ไปเพราะคิดว่ามันมีคุณค่าและความหมายต่อเขามากกว่าตัวฉันเอง
หากไม่ได้กลับมาทบทวนความทรงจำและเขียนบันทึกนี้ เหตุการณ์ 20 ธ.ค. 2545 ก็คงไม่ต่างจากเหตุการณ์อื่นๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่จะอยู่ในความทรงจำสักระยะแล้วค่อยๆลืมเลือนไปตามกาลเวลา การได้กลับมาย้อนมองอดีตเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสิบปี ทำให้ได้บทเรียนใหม่ๆจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ปกติสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่จะอบรมปลูกฝังและหล่อหลอมเราให้มีโลกทัศน์ตามที่สังคมคาดหวัง เรามักไม่รู้ตัวว่าเรามองและรับรู้โลกผ่านแว่นอคติไม่ว่าจะด้วยความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลง หากเพียงแต่เราจะมองโลกในมิติใหม่ เฉกเช่นเดียวกับการมองเหตุการณ์ความรุนแรงผ่านเลนส์กล้อง ละวางตัวตนและอคติที่เคยมี เราจะได้เห็นโลกในมุมใหม่ มุมที่ทำให้เราสามารถเปิดใจที่จะเรียนรู้ถึงความต่าง มีพื้นที่ให้กับความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความรัก อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ และเพียรพยายามที่จะหาหนทางหลุดพ้นด้วยกันทั้งนั้น