หายใจเข้า เราชวนลมหายใจเข้ามาสู่บ้านของเรา บ้านในปัจจุบันขณะ มิกังวลว่า เราจะต้องสูญเสียหรือพรากจากกันในอนาคตอันใกล้
หายใจออก ลมหายใจจากเรากลับคืนสู่ที่มาของผืนฟ้า เรามิกลัวหรือกังวลใจ เพราะลมหายใจกำลังกลับคืนสู่บ้านอีกคราครั้ง
หายใจเข้า การสูญเสียนั้นเจ็บปวด มิว่าบุคคลอันเป็นที่รัก การงานหรือชื่อเสียง ของรักทรัพย์มีค่า สิ่งที่ห่วงและหวงแหน การสูญเสียอาจพาเราหม่นเศร้า หัวใจราวแหว่งวิ่นขาดหาย รอยร้าวจากการพลัดพรากอันยากจะทดแทน
เมื่อใดที่เราสูญเสียบางสิ่ง หรือรู้สึกกำลังสูญเสีย หายใจออก กลับมาอยู่เป็นเพื่อนหัวใจ อย่าเพิ่งได้ด่วนจากตามด้วยความอาลัยหรือไขว่คว้าสิ่งชดเชย อยู่เป็นเพื่อนรับฟังตัวเอง เมื่อเรามิปรารถนาการถูกทอดทิ้ง ขอเรากลับมาเคียงข้างใจยามเจ็บปวด
ชวนเขาหรือเธอข้างในนี้ เฝ้ามองดูการสูญเสีย ดั่งดูลมหายใจออก ดั่งชื่นชมพระอาทิตย์ยามลับฟ้าหรือขอบทะเล มองดูการจากไป รับรู้ความเศร้าอาลัย หากดวงตาใจจะเห็นความมืดมนก็โปรดมองความมืดมนนั้น เพราะว่าเมื่อแสงอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว ความมืดค่ำย่อมครอบคลุมกาลเวลา นี่มิอาจเลี่ยงพ้น เราอาจจุดไฟให้แสง เช่นเราให้กำลังใจหรือข้อคิดที่ดีกับตัว หากทำเช่นนั้นแล้วเรารู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ขอจงจุดไฟเถิด และหากความมืดนั้นยังมิหายไป ให้ความมืดมนอยู่ตรงนั้น เขามาตามธรรมชาติ
หายใจเข้า ธรรมชาตินั้นย่อมมีลักษณะร่วมกัน เหมือนกันอยู่ นั่นคือความไม่แน่นอน มีความทุกข์ และไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มิว่าสิ่งใด คนที่เรารัก ใครที่ผูกพัน สิ่งล้ำค่า และแม้แต่ตัวเราก็มิพ้นสามลักษณะนี้ ร่างกายเราเองก็มิได้หยุดนิ่ง แปรเปลี่ยนตลอดเวลา เดี๋ยวแข็งแรง เดี๋ยวเจ็บป่วย และวันหนึ่งก็ต้องคืนสู่เถ้าธุลี นับประสาใดกับหัวใจเรา นับประสาใดกับคนอื่นนอกตัว
หายใจออก แม้แต่ลมหายใจก็มิอาจหยุดนิ่งในกายเรา มาและจากไป เรามิอาจยื้อได้นาน และเราก็จำเป็นต้องให้เขาจากลา
การพบและการพรากล้วนมีคุณค่าความหมาย แสงตะวันยามตื่นจากหลับใหล แสงสีทองผ่องอำไพ ประกายจับน้ำค้าง ช่างงดงามนัก แต่แสงตะวันยามล่วงลับก็งามมิแพ้กัน ผืนฟ้ากลืนแสงสีส้มลงช้าช้า เมฆเรื่อเรืองสีม่วงอ่อน น้ำทะเลทอประกายอำลา ดวงดาวค่อยคล้อยสว่างทำหน้าที่
ตัวอักษรเมื่อจดจารึกลงหน้ากระดาษ ตัวอักษรเหล่านั้นอาจคงอยู่อีกนาน ชื่อผู้เขียนอาจเป็นที่จดจำนานไกล ทว่าหมึกย่อมมีวันลับเลือน ชื่อเสียงย่อมละลายกับกระแสลมกาลเวลา หนังสือเปื่อยเน่าและฉีกขาด ความคิดดีเลิศของเราในวันนี้อาจเพียงไม่เหลือร่องรอยในวันหน้า ความหมายที่เราบรรจงเก็บไว้ในตัวหนังสือ อาจถูกแปรเปลี่ยนด้วยความเห็นต่างหรือความเข้าใจที่หยั่งลึกลง
กระนั้นงานเขียนชิ้นใหม่ก็รอผลิเผย อย่างดอกไม้ดอกใหม่ที่รอผลิบานหลังดอกเก่าโรยร่วง ตัวอักษรจืดจางลง ต้อนรับวรรควลีขับขานสืบต่อ งานเขียนชั้นดียุคเก่าถูกแทนที่ด้วยงานเขียนร่วมสมัย แก่นสารเดิมถูกปรับตามวาระและกาลเวลา แก่นเนื้อหาอาจถูกค้นพบในแง่มุมใหม่ น้ำหนึ่งละเหยไป เพื่อหยดน้ำใหม่ร่วงหล่นจากฟ้า
หายใจเข้า การสูญเสียนั้นทุกข์นัก แต่ความกลัวสูญเสียก็ทุกข์หนัก เราอาจกลัวคนที่เรารักจะตีตัวห่างหาย กลัวเขาหรือเธอตายจากชีวิตของตน เราอาจกลัวคนอื่นได้สิ่งที่หมายปองแทน หรือเราอาจกลัวการสูญเสียอิสรภาพหากต้องรับฟังหรือทำงาน ณ ที่แห่งนั้น เราอาจกลัวสูญเสียชีวิตของเราเองไป ความกลัวสูญเสียนั้นมากมายนัก
เราอาจไม่ทันสังเกตเห็นว่าลึกๆ ภายในเรากำลังกลัวอยู่ แม้ภายนอกเรากำลังโกรธหรือกังวลหนักหนา ลองกลับมาเคียงข้างหัวใจเรา เราจะรู้ว่า เบื้องหลังที่เราพยายามทำสิ่งต่างๆ หลายครั้งเรากำลังถูกครอบงำด้วยความกลัว
หายใจออก เพราะกลัวสูญเสียคนรัก เราอาจพลั้งพลาดใช้ท่าทีข่มขู่คุกคาม ตัดสินหมิ่นคุณค่า หรือทำร้ายกันและกันด้วยวาจา แล้วท้ายสุดคนรักก็มิอาจทนไหว ตีตนหนีจาก หรือเลิกร้างต่อกัน ทั้งที่ใจมิได้หวังเช่นนี้ แต่เพราะความกลัวปิดบังหัวใจ ความสัมพันธ์จึงพลอยร้าวฉาน
เพราะกลัวสูญเสียความสัมพันธ์ เราอาจปิดกั้นตัวเองจากความผูกพันใกล้ชิด หนีจากการสื่อสาร หรือทุ่มเทเกินประมาณ คุกคามกัน เราก็ยิ่งทำร้ายความสัมพันธ์และตัวเราเอง
เพราะกลัวสูญสิ้นอิสรภาพ ความยุติธรรม และความปลอดภัย บางกลุ่มคนลุกขึ้นจับอาวุธก่อการร้าย ประเทศที่ถูกคุกคามประกาศสงครามล้างแค้น ต่างฝ่ายยิ่งพรากชีวิต เข่นฆ่าในนามความชอบธรรม และพาสถานการณ์สู่ความเสี่ยงเลวร้าย
หายใจเข้า เมื่อหัวใจเราถูกบดบังด้วยความกลัวเสียแล้ว เราก็เหมือนทำสิ่งต่างๆ อย่างมืดบอด เราอาจยิ่งพรากสิ่งที่เรารัก คนที่เราห่วงใย ให้พลัดจากเราไกล หรือทำให้สิ่งที่กลัวสูญเสียยิ่งถูกบั่นทอน
แม้เราได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเสียแล้ว ใจเราก็ยังตกในความกลัวสูญเสีย เราอาจหวั่นวิตกว่าคนอื่นๆ หรือสิ่งอื่นๆ จะพลอยสูญเสียไปอีก เราอาจกลัวว่าความสุขจะไม่มีอีกแล้วในชีวิต เราอาจกลัวว่าคุณค่าของตัวเราจะลับหายไปพร้อมกับสิ่งที่จากลา เรากลัวสูญเสียชีวิตที่เราวาดหวังไว้ เรากลัวว่าเราจะไม่อาจมีชีวิตได้อีกต่อไป
หายใจออก เมื่อใจจ่มจ่อมกับความกลัวเช่นนี้ เราก็ยิ่งห่างไกลจากหัวใจตน ทอดทิ้งชีวิต ทอดทิ้งทุกสิ่งที่ยังคงมี แม้สิ่งที่จากหายเป็นเพียงหนึ่งในหลายพันสิ่งที่เรามีอยู่และอาจมีได้ วันเวลาล่วงเลย คนที่รอเราใส่ใจผิดหวัง ใจที่คอยความสุขถูกผลักไสสู่มุมมืด ความฝันของตนเองถูกพับไว้ เพราะความกลัว เพราะเราขาดความไม่มั่นใจ สิ่งหรือคนที่เราผูกพันเป็นดั่งที่ยึดพึ่งพิงให้ใจมั่นคง เมื่อสิ่งนั้นได้จากไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับลมหายใจออก ใจเราก็ล้มครืนและมิยอมลุก เพราะใจกลัวว่าเราจะลุกขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะเราพึ่งพิงความมั่นคงจากสิ่งนี้มาโดยตลอด
เรายังคงอาลัย แม้ลมหายใจเข้าได้กลับมา ไยเราจึงถวิลถึงลมหายใจออกนั้น
เมื่อเราจับปากกาลงเขียน เรามิรู้เต็มร้อยหรอกว่าผู้คนจะรับรู้และคิดอย่างไร ตัวอักษรต้องเดินทางเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เมื่อเรากลัวสูญเสียความเข้าใจหรือภาพลักษณ์เสียแล้ว หมึกค้างคาอยู่ที่ปลายปากกา เรื่องราวดีๆ มิได้บอกเล่า โอกาสได้ฝึกฝนก็จางหาย
ให้อักษรเราก้าวจากความกลัว เช่นลมหายใจออกก้าวจากจมูก พวกเขาวันหนึ่งต้องลับเลือน อักษรใหม่จะมาแทนที่เก่า แต่ความหมายที่ผู้อ่านได้หยั่งคิด ความงามที่ผู้อ่านสัมผัส จะเป็นหยดน้ำเพาะบ่มหัวใจของเขาหรือเธอผู้นั้น แม้รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แมกไม้เหล่านั้นจะเติบโต ดอกไม้ดอกใหม่จะผลิบาน วันหนึ่งโรยร่วงลงตามกาล เป็นปุ๋ยแก่ต้นไม้ต้นใหม่
การพบกันมีค่า การถนอมความสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันมีความหมาย และแม้การพลัดพรากก็เป็นโอกาส
หายใจเข้า ชีวิตก็มิพ้นสามลักษณะ วันเวลามีสว่างมีมืดลง มีความทุกข์อยู่แต่มิได้ไว้ให้จ่อมจม มีไว้เพื่อพบและพรากเช่นกัน การสูญเสียนั้นมีอยู่และคอยอยู่ แต่มิได้ให้เราด่วนเสียหรือหลบหนี โอบกอดความกลัวนั้นและดูแลวันเวลาที่มี ชื่นชมความงามและซึมซับความหมายที่มีกันและกันอยู่ เพราะแม้ดวงตะวันขึ้นเพื่อลงขอบฟ้า ช่วงเวลาระหว่างนั้นคือโอกาสให้เราทำสิ่งมีค่าเพื่อตนเองและผู้อื่นมากมาย ด้วยแสงสว่างเคียงข้าง
หายใจออก หากเราต้องการฝึกฝนการเขียนเพื่อดูแลใจและบ่มเพาะชีวิต ลองทบทวนการสูญเสียที่ผ่านมา และคุณค่าระหว่างการมีอยู่ การพบเจอ และการเสียไป มิว่าจะเป็นบทเรียน ของขวัญ ความสุข ความทุกข์ และคุณค่าต่างๆ
ก่อนย้อนกลับมาทบทวนสิ่งที่เรากำลังมีอยู่ ณ ตอนนี้
ก่อนการสูญเสียจะเป็นแขกมาเคาะประตู และเขาเองก็จะจากไปเช่นเดียวกัน
ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต
คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #15