7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สาม)

 

วิธีเลิกฝันกลางวัน

 

 

7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สาม)

คนเราหลายคนใช้ชีวิตเหมือนฝันกลางวันโดยไม่รู้ตัว บางครั้งหนึ่งวันก็จบลงอย่างไม่มีความหมายแตกต่างจากวันก่อนๆ ตื่นขึ้นไม่นาน หนึ่งวันก็จบลงอย่างว่างเปล่าและบ้างก็เหนื่อยล้า ใจบางทีก็ฝันหรือหวังในสิ่งที่ไกลแสนไกล และแปลกแยกกับชีวิตวันนี้ของตนเอง
.
บทความวิธีเลิกฝันกลางวัน จึงเป็นหัวข้อที่ชวนคิดชวนทบทวนชีวิต เรากำลังใช้ชีวิตอย่างฝันไป หรือใช้ชีวิตอย่างตื่นขึ้น เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างสองอย่างนี้ คือการมีสติและเห็นคุณค่าในชีวิตปัจจุบัน แล้วเราทำสิ่งต่างๆ อย่างมีคุณค่าสอดคล้องและเหมาะสมหรือไม่
.
บางคนรู้สึกว่าชีวิตไม่มีตัวเลือกหรือทางเลือกเลย แต่ไม่ยอมลงมือทำเพื่อสร้างทางเลือกนั้นขึ้นมา เพราะจำกัดตัวเองอยู่ในความคิด และการยอมจำนน บางคนรู้สึกว่าตัวเองมีตัวเลือกมากมาย แต่กลับไม่อาจแน่ใจว่าทิศทางใดควรก้าวไป
.
บางชีวิตฝันกลางวันอยู่กับคุณค่าปลอมของชีวิต โหยหาไขว่คว้าสิ่งที่ไม่อาจทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ได้มาอย่างไม่อาจเติมเต็มหัวใจ หรือคอยเที่ยวเทียวนำตนเปรียบเทียบกับใครๆ แต่ไม่เคยมีความพอใจกับตนเอง
.
บทความสองตอนแรก ได้แนะนำเราเกี่ยวกับการหยุดชีวิตฝันกลางวันแล้วจดจ่อกับคุณค่าที่เราพึงมีตรงหน้า ผ่านการลงมือทำและเปลี่ยนวิธีคิด สองข้อต่อไปนี้เป็นการปิดท้าย ผู้อ่านคนใดมีข้อคิดใดแลกเปลี่ยนกันเพิ่มเติมก็ขอเชิญตามช่องทางที่สะดวก และสามารถอ่านสองตอนแรกได้ตามลิงค์ท้ายบทความ
.
6 มองเล็ก ทำน้อย แต่ลงลึก : มีมากก็ใช่ว่าจะดี ทำเยอะมากใช่ว่าจะเกิดผล คนเรามักโฟกัสสิ่งที่ใหญ่และเยอะ เพราะเห็นง่ายเตะตาต้องใจ แต่ความเยอะและใหญ่ไม่เคยประกันคุณภาพและความสุข
.
ยิ่งเรามองสิ่งที่ใหญ่ เราก็ยิ่งจะรู้สึกว่าสิ่งที่มีอยู่มันเล็กและไร้ค่า สิ่งที่ใหญ่ไม่ได้ใหญ่ด้วยขนาดอย่างเดียว แต่ใหญ่ด้วยความดูพิเศษ มีราคา หรือมีชื่อเสียง เมื่อเราไขว่คว้าสิ่งใหญ่ๆ มาได้ เราอาจรู้สึกตัวเองเหมือนกระเป๋า จะเก็บมันไว้ก็เล็กเกินไปหรือไม่คู่ควร เราก็ต้องพยายามทำให้ตัวเองเป็นเหมือนกระเป๋าที่ใหญ่ขึ้น ดูควรค่ากับสิ่งที่ไขว่คว้ามากขึ้น ความพอใจในตัวเองมันก็ไม่มี เพราะเมื่อมองเห็นคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆ ดูใหญ่กว่า เราก็ยิ่งต้องตะกายพยายามหามันมาให้ได้ กระเป๋าใจที่มีก็ไม่พออีก ต้องเปลี่ยนอีก เราก็ยิ่งห่างไกลไปจากสิ่งที่ตนเองเป็นอย่างแท้จริงมากขึ้นเรื่อยๆ
.
หากเราไม่เห็นภาพจากย่อหน้าข้างต้น ก็ขอให้นึกถึงการซื้อโทรศัพท์มือถือดีๆ ที่ดูยิ่งใหญ่สักเครื่อง เมื่อได้มามันก็ย่อมไม่จบลงที่การซื้อเท่านั้น แต่เรายิ่งต้องซื้อเพิ่มและซื้อแพงขึ้นไปอีก ต้องพ่วงโปรโมชั่นอินเตอร์เน็ตให้สมสมัยและความสบาย แต่ชีวิตสบายจริงขึ้นหรือไม่ ในเมื่อเราต้องหาเงินมากขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่เราเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณค่าจริงๆ ในตัวเราคืออะไร มือถือไม่อาจให้คำตอบได้
.
เช่นเดียวกันกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิต มิว่าหน้าที่การงาน คู่ครอง ความสำเร็จ และทุกๆ อย่าง เมื่อเรามองแต่สิ่งที่ใหญ่ ใจเราก็ยิ่งรู้สึกพร่อง ชีวิตก็ใช้เวลาในฝันกลางวัน เราไม่เห็นตัวเอง เราไม่เห็นความพอใจเลย ในชีวิตแบบนั้น
.
การทำสิ่งต่างๆ ได้มากๆ ก็ใช่ว่าจะเกิดผล บางคนทำได้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเลือกอะไรหรือจริงๆ ตนเองทำอะไรเป็นกันแน่ บางคนก็เหนื่อยมากกับการรับภาระหลายเรื่องจากการทำมาก
.
ศักยภาพที่เรามี แม้มากมหาศาลเกินความคิดจะจำกัด ก็ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบที่จะทำได้เกินตัวและเกินจริง และเวลาชีวิตมีจำกัดนัก เราไม่อาจทำได้ทุกอย่างหรือเป็นได้ทั้งหมด แล้วเราเสียเวลาไปมากมายกับการทำสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ทำไมเราจึงต้องเหนื่อยเพื่อแบกรับไปเสียทุกอย่าง หรือทำไปเรื่อยทำไปหลายทางแต่ไม่มีทางใดเติมเต็มใจเราได้เลย
.
การรู้จักเลือกและตัดสินใจ เป็นสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่เราเลือกไม่จำเป็นต้องเป็นคำตอบสุดท้าย แต่เราจะไม่มีวันเห็นตนเองเลยว่าเชี่ยวชาญหรือเกิดมาเพื่อสิ่งใด หากเราไม่ลงมือทำจนถึงที่สุด บางคนทำไปแล้วพอเบื่อหรือเจอปัญหาก็ถอยหนี เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางหาตนเองเจอ เพราะทุกสิ่งที่เรารักและมีค่าต่างก็มีความทุกข์และมีโอกาสเจออุปสรรคได้ทั้งสิ้น จะเจอตนเองได้ก็ต้องยอมลงมือทำบางสิ่งจนถึงที่สุด ยอมอยู่กับมันยามสุขและยามทุกข์ จนใจเราเองที่ตอบตนได้ว่า พอแล้ว เราได้ประโยชน์จากการทำสิ่งนั้นแล้ว แม้มันจะสำเร็จหรือล้มเหลวในท้ายที่สุดก็ตาม แต่มันไม่เคยไร้ผล ประโยชน์จากการลงมือทำย่อมทำให้เราได้ฝึกหรือชัดเจนกับตนเองมากขึ้น
.
การยอมอยู่กับตัวเลือกนั้นทั้งยามสุขและยามทุกข์ จนกว่าจะสุดทาง เปรียบเหมือนกับการอยู่กับใครสักคน ช่วงแรกย่อมหวานชื่นเพราะดูดดื่มด้านดีของกันและกัน จนเมื่อต่างเห็นต่างฝ่ายชัดเจนขึ้น จากหวานก็รสขม หลายคู่ก็แยกย้ายจากกันในช่วงนี้ แต่พลาดโอกาสได้ใช้ชีวิตคู่เพื่อเรียนรู้และฝึกตนให้เติบโตทั้งสองฝ่าย แม้ท้ายสุดก็ต้องพลัดพรากกันมิว่าด้วยความตายและปัจจัยอื่นใด อย่างน้อยช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันก็มีคุณค่ามากนัก หากเราเลิกร้างกับสิ่งใดไปง่ายดายแล้ว เราก็ได้รู้จักและได้ประโยชน์กับสิ่งนั้นแค่ผิวเผิน
.
วิธีการเลือกอีกแบบหนึ่งคือการพิจารณาดูว่า สิ่งใดที่ไม่ได้เลือกหรือไม่ได้ทำ เราจะเสียดายและเป็นทุกข์ยิ่งยวดในภายหน้า สิ่งใดไม่เลือกแล้วไม่ตาย เลิกแล้วมีประโยชน์ มีสิ่งอื่นที่ดีกว่าทดแทนได้ และไม่ใช่คุณค่าที่เหมาะสมกับตัวเรา ก็อาจสามารถตัดตัวเลือกนั้นทิ้งไป แต่ท้ายที่สุดการลงมือทำจะเป็นสิ่งที่ให้คำตอบแก่เราเอง
.
การตัดสินใจบางครั้งมันเจ็บปวดและยากลำบาก เป็นการเลือกที่ทารุณ แต่มันอาจเป็นการก้าวข้ามขอบของตนเอง เพื่อการเติบโตของทั้งเราและอีกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
.
การมองเล็กๆ ไม่ติดกับความใหญ่และเยอะ ก็ช่วยให้เราตัดสินเลือกง่ายขึ้น เห็นสิ่งที่เหมาะสมแก่ตนเอง เพราะเราจะพิจารณาได้ตรงจุด เหมือนเลือกของที่ขนาดเหมาะสมกับกระเป๋าตน แทนที่จะมองความยิ่งใหญ่ของสิ่งนั้นเป็นหลัก และช่วยให้เราอยู่กับสิ่งที่เลือกได้นาน ด้วยหากเรายึดที่ความใหญ่แล้ว เราอาจทำเกินกำลังตัวเองเกินไป หรือติดภาพลักษณ์ดีๆ เกี่ยวกับสิ่งนั้นจนไม่ยอมรับความจริงและคุณค่าที่มีอยู่
.
7 ระลึกถึงคุณค่าในตัวเองและสิ่งต่างๆ ที่ทำตามที่เป็นจริง : เมื่อเราเห็นคุณค่าสิ่งใด เราก็ย่อมทำกับสิ่งนั้นอย่างมีค่า เราจะใช้เวลาชีวิตได้คุ้ม ต่อเมื่อเราเข้าใจคุณค่าที่ตนเองมีอยู่
.
คุณค่าที่มีจริง กับ คุณค่าที่คาดหวังให้ควรมี เป็นคนละอย่างกัน อย่างแรกนั้นคือการเห็นคุณค่า แต่อย่างที่สองคือภาพลักษณ์และการใฝ่หา
.
เมื่อเราไม่มองคุณค่าที่ตนมีอยู่จริง เราก็ย่อมไขว่คว้าสิ่งต่างๆ นอกตัวมาเป็นคุณค่าที่คาดหวัง ซึ่งหากเป็นสิ่งที่ดีก็เกิดประโยชน์ เป็นสิ่งลบก็ก่อโทษ แต่มิว่าอันไหนก็ตาม เราย่อมไม่อาจพึงพอใจในตนเอง ตราบใดที่เรายึดติดคุณค่าจากสิ่งนอกตัว เพราะทุกสิ่งเหล่านั้นล้วนแต่ไม่ยั่งยืน แม้คุณค่าที่เราคาดหวังในตัวเองจะเป็นสิ่งที่ดีมากอย่างการช่วยเหลือคนอื่นก็ตาม หากเราช่วยไม่สำเร็จหรือถูกตำหนิติเตียน เราก็ย่อมเป็นทุกข์และไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
.
เรียกว่าวางใจในคุณค่าไว้ผิดที่ ชีวิตจึงอยู่ในฝันกลางวัน เพราะคุณค่าที่เราคาดหวังให้เป็นหรือมีนั้นมันไม่ใช่ความจริง แต่เป็นภาพลักษณ์ที่เรายึดติดและสิ่งที่อยากได้เท่านั้น แต่คุณค่าที่เป็นความจริงนั้น ต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แม้จะไม่เห็นก็ตาม เหมือนดวงทอแสงบนท้องฟ้าก็ด้วยดวงดาวเหล่านั้นมีแสงสว่างในตนเอง มิได้หยิบยืมหรือสะท้อนมา เพราะหากเป็นเช่นนั้นแสงดาวดังกล่าวก็มิอาจแจ่มชัด ดับหรือมัวหมองลงง่าย
.
การที่เราลงมือทำสิ่งต่างๆ อย่างลงลึกและใส่ใจ เปรียบเสมือนเรารดน้ำหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธ์ุในตนเองให้เติบโตงอกงาม สิ่งที่ดีที่เราชื่นชมในตัวผู้อื่น ใฝ่ฝันอยากเป็นแบบเขา เราเองก็มีในตัวอยู่เช่นกัน เพียงแค่เราต้องฝึกนำออกมาใช้ ในแบบที่เหมาะสมต่อตนเอง
.
เมื่อใดที่เรากำลังเสียเวลาชีวิต การกลับมาระลึกถึงคุณค่าที่เรามีอยู่ แม้บางทีจะเห็นไม่ชัดเจน จะช่วยเตือนใจเราให้กล้าก้าวข้ามจากสิ่งที่ฉุดรั้ง ใช้เวลาให้คุ้มค่าและเต็มเปี่ยม สิ่งภายนอกไม่เคยกำหนดคุณค่าวันเวลาชีวิตเลย มีแต่เราเท่านั้นที่จะเลือกทำสิ่งใด
.
ปัจจัยภายนอกตัวอาจยั่วยวนให้เราทำสิ่งที่บั่นทอนหรือไม่ใช่คุณค่าของชีวิต แต่คนที่เลือกทำสิ่งใดก็คือตัวเรา กลับมาเห็นคุณค่าในตนเองมากเท่าใด เราก็ย่อมทำสิ่งที่มีคุณค่าได้มากเท่านั้น
.
บางครั้งเราก็ต้องใช้ศรัทธาหรือความวางใจ เพราะบางช่วงชีวิตนั้นช่างมืดหมองไม่เห็นหนทาง ประหนึ่งท้องฟ้าดาวอับแสงเพราะมีเมฆครึ้มคลุมไปทั่ว แต่เรารู้ดีว่าเบื้องหลังม่านมืดบนฟ้านั้นมีดวงดาวส่องแสงอยู่ เช่นเดียวกันกับคุณค่าชีวิต บางทีมันเหมือนหายไปแต่ก็เพียงความมืดหมองของใจปกคลุมไว้เท่านั้น แต่ไม่ว่าวันใดวันหนึ่งม่านที่ปกคลุมก็ย่อมเปิดออก ก่อนจะถึงวันนั้นเราก็ต้องวางใจว่า คุณค่ามิอาจถูกพลัดพรากไปจากเรา เหมือนที่ดวงดาวมิอาจถูกทำลายด้วยเมฆหมอง
.
ไม่คอยตอกย้ำตัวเองด้วยความคิดลบและจำกัดตนไว้ มองหาหนทางใหม่ๆ ถือให้การผิดพลาดทั้งปวงเป็นสัญญาณของการริเริ่ม
.
เมื่อไฟในตะเกียงดับลง สิ่งที่เราควรทำคือจุดไฟขึ้นอีกครั้ง
.
อนุรักษ์ ครูโอเล่
#คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต
.
(ตอนแรก) www.dhammaliterary.org/วิธีเลิกฝันกลางวัน1/
(ตอนสอง) www.dhammaliterary.org/วิธีเลิกฝันกลางวัน2/
อ่านรายละเอียด หลักสูตรการอบรม ได้ที่
www.dhammaliterary.org