2 “ละ” 1 “เริ่ม” เพื่อปีใหม่ของชีวิต
1 ละเลิกการสร้างเงื่อนไขไม่ให้ตัวเองทำสิ่งที่ควร : กำแพงที่ขวางกั้นตัวเรามากที่สุดก็คือความเชื่อที่เราสร้างขึ้นให้ตัวเอง ปีใหม่อาจมิได้แตกต่างจากปีเดิมเท่าไรนัก หากเงื่อนไขของหัวใจทั้งหลายยังผูกพันใจเราอยู่เช่นปีเก่า
.
บ่อยครั้งที่เราอาจย้ำคิดแก่ตัวเองว่า “ถ้า…ฉันก็จะสามารถ…” หรือ “เพราะฉันไม่ได้… ฉันจึงไม่สามารถ…” นี่คือหนึ่งในเงื่อนไขที่เราผูกพันตัวเองไว้ เพราะเมื่อใดที่ใจเราคิดเช่นนี้ จิตและสมองก็จะไม่ได้โฟกัสว่า แท้จริงแล้วเราสามารถทำอะไรได้ แต่มัวใส่ใจว่า “ถ้า…” หรือไม่
.
ปีเก่าล่วงเลยไปกี่ปีแล้วที่เราย้ำซ้ำอยู่เหมือนเดิม เพราะสมองและจิตตกร่องเงื่อนไขที่เราป้อนให้ตัวเองแบบนี้ และหวังกับตนเองว่า “ปีหน้า ฉันจะ…” แล้วก็ “จะ” อยู่อย่างนั้น วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
.
ปีใหม่ของชีวิตไม่ได้เริ่มต้นเพราะเปลี่ยนปฏิทิน แต่เริ่มต้นที่การก้าวข้ามของหัวใจ หลายครั้งเรารู้ตัวว่าควรทำอะไร แต่ใจลังเลที่จะทำ เพราะ “มันจะดีกว่าถ้า…” หรือ “ฉันมันก็แค่…” สมองและจิตก็เลยจมอยู่กับกำแพงของคำว่า ถ้า และ แค่ ที่เราสร้างขึ้น จนมองไม่เห็นหนทางที่มีอยู่แล้วในตอนนี้
.
เราควรมีเป้าหมายสำหรับชีวิตในอนาคต แต่ทั้งหมดล้วนกำหนดที่การลงมือทำในปัจจุบัน ลำพังเพียงความหวังและเป้าหมายแล้ว เราก็เพียง จะ และ จะ เท่านั้น
.
บางเรื่องเราไม่แน่ใจว่าตัวเองเก่งพอไหม ดีพอไหม ทำได้ไหม สำหรับสิ่งที่ดูดีมากเหลือเกินที่เราน่ากระทำ หัวใจรู้สึกเช่นนั้น เพราะเงื่อนไขที่เราวางไว้ในใจว่า “คนที่จะทำแบบนั้นได้ จะต้อง… และฉันมีแค่หรือเป็นแค่…”
.
ทุกสิ่งที่เราคิดนั้นเป็นโปรแกรมแก่สมองและชีวิตของตนเอง เมื่อใดเราคิดถึงสิ่งที่ดีที่เราควรทำและพึงปรารถนา เราเองกำลังโปรแกรมตนให้โฟกัสและใส่ใจในสิ่งนั้น เพื่อทำให้ได้สำเร็จด้วยกาย วาจา และใจ แต่หากสมองและจิตถูกโปรแกรมด้วยเงื่อนไขต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นเองแล้ว แทนที่เราจะโฟกัสที่เป้าหมาย เราก็จะเห็นแต่กำแพงที่สร้างขึ้นด้วยใจเรานี้เอง
.
ให้ผลลัพธ์เป็นเรื่องของอนาคต ให้การกระทำเป็นเรื่องของปัจจุบัน สิ่งที่เราคิดและเชื่อจะเป็นความจริงหรือไม่ พิสูจน์ด้วยการกระทำอย่างเต็มที่แล้วเท่านั้น
.
เราทุกคนเป็นและทำได้มากกว่าที่ตนเองเชื่อเสมอ เพราะความเชื่อนั้นมักสร้างขึ้นจากความสุข ความทุกข์ ประสบการณ์ และการตีความจากอดีต เราเติบโตขึ้นมากกว่าวันวานที่ล่วงเลย เราที่เคยล้มเหลวและเสียใจ ไม่ใช่ตัวเราอีกแล้ว
.
วันนี้คือปีใหม่ของอดีต เรากำลังอยู่ในอนาคตที่เราเคยเชื่อมั่นว่าตนเองกำลังก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายอย่างมีความหวังและกำลังใจ วันนี้คือวันที่เราประสบความสำเร็จในอีกก้าวหนึ่งของเป้าหมายนั้น แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ก็ตาม เพราะเงื่อนไขว่าเล็กและใหญ่ไม่เคยบอกคุณค่าของสิ่งใดได้แท้จริง
.
หัวใจเราสร้างเงื่อนไขขึ้นเพื่อปกป้องหัวใจจากความเจ็บช้ำ แต่เราไม่จำเป็นต้องให้เงื่อนไขนั้นเล็กเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้เราโตขึ้นแล้ว เงื่อนไขก็ต้องกว้างและใหญ่ขึ้นตามด้วยเช่นกัน เงื่อนไขใหม่ไม่อาจสร้างด้วยการย้ำคิดเพียงลำพัง แต่สร้างด้วยความกล้าหาญน้อยๆ ที่จะลงมือทำต่อไป
.
ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ปีใหม่ข้างหน้า หรือ “เมื่อ…ฉันจะ…” แต่อยู่ในทุกขณะที่เราลงมือทำในสิ่งที่ควรค่า ชีวิตที่เติบโตไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ แต่อยู่ที่ก้าวเล็กๆ ของหัวใจ ก้าวข้ามความกลัวทีละน้อย สร้างสรรค์ปีใหม่ทุกขณะลมหายใจ ใช่รอวันเวลาลิขิต
.
.
2 ละเลิกการบ่นและกล่าวโทษ : ทุกสิ่งที่เรากระทำด้วยกาย วาจา และหัวใจ ต่างย้อนศรกลับมามีผลกับตัวเราด้วยกันทั้งสิ้น การบ่นและกล่าวโทษเป็นเหมือนการทิ่มตำตัวเองด้วยเข็มเล็กๆ ยิ่งเราคิดลบ พูดลบ และกระทำลบ มิว่าต่อคนอื่นหรือใครก็ตาม ยิ่งเท่ากับเราทิ่มตัวเองด้วยเข็มครั้งแล้วครั้งเล่า
.
เมื่อเราทิ่มแทงตัวเองเช่นนั้น สมองและจิตก็จะยิ่งเคยชินกับความเจ็บปวด การทำร้ายตัวเอง และการโฟกัสจดจ่อที่สิ่งลบร้าย กลายเป็นโปรแกรมความนึกคิดชักนำกระทำของเราต่อมายิ่งเป็นการทำร้ายตัวเองทั้งทางตรงและทางอ้อมมากเท่านั้น
.
ยิ่งเราย้ำคิดในแง่มุมลบเกี่ยวกับตนเอง สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นความเชื่อและเงื่อนไขต่อตัวเองว่า “ฉันมันก็เป็นแค่คนที่…” หัวใจเราก็ถูกกักขังอยู่ในวงล้อมกำแพงนั้นเสียแล้ว
.
เรามักสร้างความคิดลบขึ้นมาตอบสนองต่อความเจ็บปวดที่ได้รับจากเหตุการณ์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แสดงออกด้วยการบ่นตัวเอง บ่นคนอื่น เฝ้าวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองและผู้อื่น แม้ไม่มีหน้าที่หรือความเกี่ยวข้อง การสร้างความคิดลบเหล่านั้นเป็นกลไกของสมองและจิตเพื่อหวังปกป้องตัวเราเอง แต่เราก็ถูกมันกักขังตัวเองไว้และชวนใจจ่อมจมกับสิ่งลบทำร้ายหัวใจ
.
เราลองสังเกตง่ายๆ ได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ใจบ่นในทางลบหรือค่อนลบเมื่อใด ร่างกายและความรู้สึกข้างในเป็นอย่างไรบ้าง บางครั้งเราอาจรู้สึกสะใจหรือโล่งใจเมื่อได้ทำเช่นนั้น แต่เราผ่อนคลายจริงๆ หรือไม่ มีความสุขจริงๆ หรือไม่ รู้สึกพึงพอใจและเคารพตนเองจริงๆ หรือไม่ เราปรารถนาให้ตัวเองต้องอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ที่เราสร้างขึ้นด้วยวาจาทั้งภายนอกและภายในเช่นนี้หรือ
.
ยิ่งเราปล่อยให้สมองและจิตเคยชินกับความเจ็บปวดและสิ่งลบ เพราะการบ่นและการย้ำคิด เมื่อนั้นเราก็จะเห็นแต่สิ่งลบเต็มไปหมดในชีวิตและคนรอบตัว แล้วผลยังสะท้อนกลับมาที่การมองเห็นสิ่งที่ดีในตัวเอง ความรู้สึกพึงพอใจในตัวเอง และความรู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ จะลดน้อยถอยตามลงไปด้วย
.
หัวใจนี้มีคุณค่าเกินกว่าจะปล่อยให้ตัวเองทิ่มแทงตนด้วยเข็มใดใด สมองนี้มีคุณค่าเกินกว่าจะสะสมขยะไว้
.
เราอาจปล่อยปละจนตนเองมีแผลและความคิดลบกองสุมไว้มากมาย นั่นเป็นบทเรียนจากอดีต สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือลดละเลิกการเฝ้าบ่นตนเองและกล่าวโทษใครใคร ชะลอตัวเองจากการแสดงความคิดเห็นทางสื่อและยับยั้งตัวเองจากการย้ำคิดแบบเดิมๆ ฝึกรู้ตัวและพาใจกลับมาที่ลมหายใจหรือปัจจุบัน
.
เมื่อการกระทำทางกาย วาจา และใจเราเปลี่ยนแปลง มิซ้ำเติมแผลหรือสุมขยะใหม่ไว้ เมื่อนั้นหัวใจเรา จิตและสมองก็จะดีขึ้นเอง โปรแกรมความนึกคิดแบบลบๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก โดยที่เราไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจวิเศษหรือความรู้ซับซ้อนเลย
.
หากหัวใจเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เราลองเลือกเองว่าตัวเราเองอยากมีเพื่อนที่ขี้บ่นและเฝ้ากล่าวโทษตัวเรากับโลกครั้งแล้วครั้งเล่า หรืออยากให้มีเพื่อนเป็นผู้คอยรับฟัง ชี้นำปัญญา และพูดแต่สิ่งที่มีประโยชน์ จงเป็นเพื่อนให้แก่หัวใจตัวเราเฉกเช่นที่ปรารถนาเพื่อนแบบไหน
.
วันนี้เป็นวันที่ดีของเราได้ ปีนี้หรือปีใดก็เช่นกัน มิจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ หรือเฝ้ารอคอยเงื่อนไขอะไร เพียงแค่เริ่มพูดดีกับตนเองและคนอื่นๆ อย่างใส่ใจในคุณค่า ละเลี่ยงการเฝ้าบ่นและกล่าวโทษ สิ่งทั้งหลายก็เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว
.
.
3 เริ่มใช้เวลาทุกลมหายใจและวันนี้เป็นของขวัญให้ตัวเองและโลก : ปีใหม่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยพลุไฟ แต่เริ่มต้นด้วยลมหายใจใหม่ และเวลาชีวิตที่มีอยู่ ในเมื่อเราหวังว่าช่วงเวลาส่งท้ายปีและปีต่อไปเราจะดียิ่งกว่า หรืออย่างน้อยก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ดีที่เกื้อกูลชีวิต ไยจึงไม่เริ่มทำให้ช่วงเวลาที่มีลมหายใจนี้ เป็นปีใหม่ที่ดีที่สุด
.
เราไม่รู้ว่าปีใดจะเป็นปีสุดท้ายของชีวิต บางครั้งเราก็รู้สึกไปเองว่าความตายช่างไกลแสนไกลจากตัวเรา ขณะที่ผู้คนแล้วผู้คนเล่า ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จักกัน ทยอยล่วงลับจากโลกนี้ ในวันนี้เราเห็นเขาตกเป็นข่าวการสูญเสีย แต่วันหน้าเราเองจะเป็นหนึ่งในรายชื่อข่าวนั้นหรือไม่ หลายคนจากโลกนี้โดยที่ไม่อาจตอบคำถามแก่ตนเองว่า คุณค่าและความหมายที่เกิดมานั้นคืออะไร เราเองตอบได้หรือไม่หากเวลานั้นมาถึงในไม่ช้า
.
มิว่าคุณค่าและความหมายของชีวิตในหัวใจเราคืออะไร แต่หากความหมายนั้นผูกพันด้วยเงื่อนไขมากมายแล้ว ปีหน้าก็อาจยาวนานไม่พอที่จะเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งชีวิตทั้งชีวิตนี้ก็อาจไม่พอที่จะถมเต็มเงื่อนไขนั้น
.
ชีวิตไม่ใช่ปริศนาอักษรไขว้ ความสุขก็เช่นกัน เราไม่ได้มีชีวิตในอนาคตที่จะมีความสุขและบรรลุเป้าหมายอันมากมายด้วยเงื่อนไขผูกมัด แต่เรามีชีวิตในปัจจุบันนี้เท่านั้น
.
เราอาจต้อนรับปีใหม่ด้วยการฉลองและการสร้างความสุขด้วยกิจกรรมรื่นเริง แต่ปีใหม่นั้นก็ไม่ใช่เวลาที่เรามีชีวิต เรากำลังมีชีวิตในตอนนี้เท่านั้น
.
เวลาให้เรามีความสุขและทำสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิต ไม่ใช่อนาคตและไม่ใช่ “เมื่อ ฉัน…” หรือ “ถ้า…ฉันจะ…” แต่เป็นตอนนี้เท่านั้นที่เรามีเวลาอย่างแท้จริง คนที่เรารักอาจไม่ได้อยู่รอถึงวันนั้น สิ่งที่มีค่าแท้จริงสำหรับตนอาจไม่ได้มีเวลายาวนานถึงตอนนั้น แม้แต่ตัวเราเองก็เช่นกัน
.
ความสุขและคุณค่าแท้ในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีพร้อมและเป็นพร้อมอย่างไร แต่อยู่ที่เราสามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ อย่างเห็นคุณค่าในเวลาที่มีและเห็นคุณค่าในตัวเอง
.
เราไม่จำเป็นต้องรอปีใหม่หรือวันเกิดเพื่อได้รับของขวัญ เราไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นบ้าเป็นหลังหรือเรียนอย่างเอาเป็นตายผ่านคอร์สนั้นและคอร์สนี้ เพื่อจะให้ของขวัญตัวเอง วันส่งท้ายปีไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการมีชีวิตที่มีความสุขและผ่อนคลายสำหรับทั้งปีนั้น แล้วเราไม่จำเป็นต้องมัวรอคนอื่นมอบของขวัญชีวิต ซึ่งอาจจะเป็นความรักหรือความเข้าใจที่เราใฝ่หา เพราะคนๆ นั้นที่สามารถให้เราได้จริงๆ คือตัวเราในตอนนี้
.
ของขวัญของชีวิตไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุมีราคา เพื่อเฉลิมฉลองตามพิธี แต่เพียงแค่เป็นการทำสิ่งที่ดีต่อตัวเองและคนอื่น ด้วยกาย วาจา และหัวใจ นั่นก็เป็นของขวัญแก่ชีวิตเราแล้ว
.
ความสุขและคุณค่าของชีวิตไม่ใช่สิ่งซับซ้อน มีแต่หัวใจที่มากเงื่อนไขผูกมัดตัวเองไว้ด้วยกฏเกณฑ์ความเชื่อนานา ความสุขแท้นั้นง่ายงาม และมีแต่ในปัจจุบันเท่านั้น
.
เราสามารถมีความสุขได้ง่ายๆ อาจเพียงแค่การอยู่กับลมหายใจอย่างสงบสักนาทีหนึ่ง ละวางความอยากอันวุ่นวายที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยู่กับตัวเองให้เป็น ดูแลตัวเองให้ได้โดยไม่ต้องผูกมัดว่าจะต้องดูแลด้วยสิ่งดีเลิศอะไร ยิ้มให้ตัวเองมากขึ้น ยิ้มให้คนรอบข้างมากขึ้น กอดคนในครอบครัว หรือกระทั่งการทำกับข้าวง่ายๆ ให้ตัวเองทาน
.
เมื่อเรารู้จักหยุดความดิ้นรนทะยานอยาก อยู่กับหัวใจตัวเองอย่างสงบ เราอาจสัมผัสถึงการพักผ่อนแท้จริง ความผ่อนคลายแท้จริง ในปัจจุบันนี้ ซึ่งไม่ต้องอาศัยเงื่อนไขวันหยุดยาว เมื่อเราเห็นคุณค่าในเวลาที่มีทุกลมหายใจ อยู่กับตัวเองอย่างพอใจและยิ้มได้ในทุกลมหายใจที่มี เราจะรู้สึกว่าปีใหม่ตามปฏิทินไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเรามีปีใหม่อยู่เสมอในแต่ละนาทีที่มีลมหายใจใหม่ ความสุขและคุณค่าของชีวิตไม่ใช่การวิ่งไล่ไขว่คว้ามา แต่เป็นนำออกมาจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว
.
แล้วเมื่อบรรทัดสุดท้ายของชีวิตได้มาถึง เงื่อนไขใดใดเราก็ไม่อาจใช้ได้อีกแล้ว เราไม่อาจบอกความตายว่าขอเวลาอีกเดี๋ยวเพื่อทำสิ่งใด หรือรอให้ ฉัน…ก่อนแล้วค่อยตาย เราไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เช่นเดียวกันกับคนที่เรารัก เราไม่อาจบอกความตายให้รอเวลาเพื่อที่เราจะให้ความรักแก่เขาอย่างไร้เงื่อนไขในอนาคต
.
เราทำได้เพียงจารึกคำสุดท้ายของบรรทัดชีวิตนั้นด้วยผลลัพธ์ของทุกสิ่งที่ได้กระทำมาทั้งกาย วาจา และใจ เราสามารถลงท้ายด้วยความพอใจและยอมรับ ไม่มีอะไรให้กลัวและเสียดาย ไม่มีภาระและสิ่งลบที่ทิ้งไว้แก่ผู้ยังอยู่ต่อ เมื่อทุกหน้าชีวิตที่ผ่านมาเราได้ทำดีที่สุดแล้ว ที่เหลือจากเถ้ากระดูกนี้ก็เพียงสิ่งที่ดีที่ส่งมอบต่อแก่ผู้ยังมีลมหายใจ
.
.
สุขสันต์ปีใหม่แก่ทุกคน
.
อนุรักษ์ ครูโอเล่
คอลัมน์ ไกด์โลกจิต
ติดตามบทความและการอบรมโดยผู้เขียน ได้ที่
www.dhammaliterary.org