หายใจเข้า เราเริ่มหายใจอีกคราครั้ง แม้เราหายใจมาหลายเวลา ก่อนหน้านี้ เรากำลังเริ่มหายใจใหม่ นี่คือลมหายใจแรกและลมหายใจสำคัญห
หายใจออก แม้เราพบเจออักษรนับหมื่นนับแสนหน เรากำลังเริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
การเริ่มต้นทำสิ่งใดเป็นครั้งแรก มักประทับไว้ในหัวใจเรานานนับนาน ประหนึ่งความรู้สึกแรกพบเป็นรากให้ต่อยอดความรู้สึกรู้สาในเวลาต่อมา เรากำลังสดใหม่ การรับรู้ทุกประสาทตื่นตัว หัวใจสนใจ มิมีร่องรอยความคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ก่อนหน้า ทุกอย่างจึงเป็นไปได้
ระลึกในใจระหว่างอ่านอักษรต่อไปนี้ เรากำลังพบสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรก สิ่งหนึ่งที่ว่านี้คือสิ่งที่เราชอบหรือมีคุณค่าต่อหัวใจ นึกถึงช่วงเวลาแรกพบกับสิ่งนั้น ชีวิตเราอยู่ในช่วงวัยใด พบกับสิ่งนี้อย่างไร ยามแรกพบพาใจรู้สึกอย่างไรบ้าง ตระหนักถึงความคิดและพลังที่เรามีในยามนั้น
หายใจเข้า ระลึกในใจระหว่างอ่านอักษรดังนี้ เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิตตอนนี้ ที่เรารู้สึกเบื่อ จำเจ หรือหมดพลังจะทำสิ่งนี้ต่อไป ตระหนักว่าเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ตอนนี้แล้วรู้สึกอย่างไร หายใจออก พาเราโบยบินย้อนวันเวลา ช่วงเวลาหนึ่งในอดีต ยามแรกพบระหว่างเรากับสิ่งนี้ เราพบเจออย่างไร ลองมองหรือคิดถึง ด้วยดวงตาใจแรกพบเจอ หัวใจรู้สึกอย่างไร เห็นอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้
การทำสิ่งใดซ้ำๆ ย่อมทำให้คุ้นเคย และเชี่ยวชาญได้ ทำให้สิ่งที่ยากง่ายลง ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายเหมือนแต่ก่อน การหัดเล่นเปียโนครั้งแรก นิ้วมือเราย่อมแข็งเกร็ง กว่าจะกดดนตรีเล่นนิ้วพลิ้วราวละลอกน้ำ ย่อมต้องผ่านความอดทนและบังคับนิ้วเนิ่นนาน แรกการเขียนก็เช่นเดียวกัน มือเราอาจยังเขินอายต่อหน้ากระดาษ มิรู้จะทักทายและจารึกถ้อยคำใด ความกลัวนานาปรากฏในหัวใจเรา เขียนอย่างนี้จะดีไหมนะ จะเขียนต่อไปอย่างไร ก่อเกิดคำถามและตอบต่อกันภายใน กว่าบรรทัดหนึ่งจะลุล่วง
เราอาจต้องการเวลายาวนานมาก กว่าจะเขียนเรื่องราวหนึ่งหรือบทความหนึ่งได้ครบหน้า อาจใช้เวลานับชั่วโมงสำหรับหนึ่งย่อหน้า เพื่อกลับมาลบทิ้งเขียนใหม่ในภายหลัง
แรกพบ แรกทำสิ่งใด ย่อมมีเรื่องไม่คาดหมายไม่คาดฝันได้เสมอ เพราะใจเรายังไม่มีกรอบกำหนดชัดเจน อาจยากและใช้ความพยายาม แต่มีคุณค่าลึกเร้น คนที่บอกว่าตนเองเขียนไม่เก่ง อาจสร้างสรรค์ผลงานที่สดใหม่และมีชีวิตชีวา มากกว่าคนที่ถือว่าตนเก่งหรือเขียนดี ซึ่งย่อมถูกใจเชี่ยวชาญของตนเองกำกับไว้
หายใจเข้า เราต่างหายใจกันนับไม่ถ้วนตั้งแต่แรกเปิดประตูครรภ์มารดา การหายใจครั้งแรกๆ ย่อมเปี่ยมด้วยชีวิตและความสนใจใคร่รู้ จนกระทั่งเราหายใจจนเคยตัว มนต์ขลังเสื่อมคลาย เราหลงลืมที่จะดูแลลมหายใจเราให้ดี หายใจสั้นตื้นกดดันตัวเอง ลืมแม้ความรู้สึกขณะหายใจ กระโดดออกไปยังอนาคตและสิ่งที่ไม่มีอยู่ ปล่อยปละชีวิตตนเองในปัจจุบัน
หายใจออก ผู้มีใจเริ่มต้นย่อมมีหนทางที่เป็นไปได้มากมาย สำหรับผู้เชี่ยวชาญแล้วหนทางที่เป็นไปได้น้อยนัก เพราะใจเขาถูกพันธนาการด้วยอดีต ด้วยความคิดยึดติดเกี่ยวกับความเก่งและประสบการณ์ เขาจึงไม่ได้มองหรือทำสิ่งนั้นๆ ในปัจจุบัน ตามที่เป็นจริง แต่ติดภาพฝังใจ ทำตามความคุ้นเคยเก่า ท้ายสุดพลังก็จะซบเซา ขาดกำลังจะทำสิ่งใดสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ สังเกตยามเราทำสิ่งใดที่เราเพิ่งทำเป็นครั้งแรก หรือรู้สึกไม่มั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เปิดรับพร้อมพยายาม เราย่อมกระทำอย่างระมัดระวัง ดึงพลังของตนเองออกมาใช้ดูแล หัวใจและความคิดก็มีชีวิตชีวา ผู้เชี่ยวชาญอาจมีคำตอบสำหรับเรื่องนั้นๆ ไว้ในใจแล้ว แต่เขาจะไม่ได้เจอคำตอบหรือหนทางใหม่ๆ ได้เลย หากละทิ้งใจของผู้เริ่มต้น
สำหรับผู้สนใจการเขียนเพื่อเยียวยาหรือพัฒนาชีวิตตนเอง ผมมักสังเกตว่าคนที่รู้สึกไม่มั่นใจต่อการเขียนและศักยภาพด้านความคิดหรือปัญญาของตน มักมีความก้าวหน้าและใจเติบโตจากกระบวนการ งานเขียนบันทึกเขามีพลังและชีวิต ขณะที่คนถือว่าตนเก่งมักได้ประโยชน์น้อยเกินควร งานเขียนบันทึกเขาหรือเธอมีแก่นสารความคิด แต่ไม่อาจเชื่อมโยงการเติบโตของใจ เพราะหลักการความคิดมากมายได้ปิดบังหัวใจของพวกเขา ความเชี่ยวชาญกักขังใจแรกจับปากกา
หากเราปรารถนาเขียนเพื่อสื่อสารกับชีวิต เขียนเพื่อเยียวยาใจ เขียนเพื่อตัวเราได้เติบโต มิได้เขียนเพื่อประกาศตัวตน แสดงความเก่งความสามารถ เงินทองรางวัล หรือบอกแก่คนอื่นว่าเรารู้อะไร สิ่งเหล่านี้มิใช่ทางเพื่อขัดเกลา เราต้องเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ เขียนอย่างละวางความคาดหวังของตนเอง ละวางความรู้ความสามารถ ใจอยู่กับการเขียนปัจจุบัน ประหนึ่งแรกเขียนครั้งแรก เปิดรับทุกความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ณ ที่นี้ ไม่ยึดสิ่งที่เคยเขียนหรือคาดหวังให้เกิดขึ้นบนกระดาษ รับรู้ความกลัวและความต้องการความสมบูรณ์แบบและก้าวข้ามด้วยการลงมือทำ
การเขียนเป็นเช่นเดียวกับการภาวนา หลายครั้งที่ได้ยินนักเขียนหรือคนเคยเขียนสิ่งต่างๆ มามาก บ่นบอกว่า เขาเขียนสิ่งต่างๆ ได้ยากขึ้น พลังและแรงบันดาลใจหายไป เขากำลังจมอยู่กับบทบาทนักเขียนผู้เชี่ยวชาญ ผู้ฝึกตนในการภาวนานานนับปีบางท่านรู้สึกว่าตนเองมิอาจลุก้าวหน้ากว่าเดิมได้ หรือพลังสมาธิหรือความตื้นตันปิติจากอารมณ์ภาวนาหายไป เขากำลังจมอยู่กับอุปาทานการเป็นนักภาวนาและประสบการณ์เก่า การเริ่มต้นใหม่หรือการหวนคืนสู่จิตใจแรกจับปากกา คือกุศโลบายและการฝึกใจเพื่อละวางการยึดติด ทุกครั้งที่เราหายใจ เราเริ่มต้นใหม่เสมอ ทุกคำที่เขียน เรากำลังเลือกและทำใหม่ ใจเริ่มปรุงอีกครั้งครา แต่เราเลือกรับรู้ท่าทีการปรุงแต่งเดิมเพื่อกำหนดทิศทางใหม่
หายใจเข้า มิมีสิ่งใดจำกัดตัวเราเองได้มากไปกว่าการยึดติดและการคาดหวัง การยึดเพื่อให้มั่นคง เพื่อมีหลักไม่หลงทาง เพื่อความถนัดและสะดวก แต่การติดทำให้เราหยุดนิ่ง บั่นทอนพลังสร้างสรรค์และจำกัดมุมมองเราคับแคบ การหวังทำให้เรามีเป้าหมายและพลัง แต่การคาดหวังคือการโอบรัดตัวเราไว้ คาดแน่นหนายิ่งกว่าเชือกเส้นใดในโลก
หายใจออก เมื่อเริ่มทำสิ่งไม่คุ้นเคย หรือทำอย่างเดิมในรูปแบบแตกต่าง อย่างการเขียนหนังสือด้วยท่วงทำนองใหม่ เต้นรำด้วยดนตรีคนละแบบกับบุคลิก เราอาจรู้สึกต่อต้านภายใน ข้อแม้ข้ออ้างมากมายประเดประดังในความคำนึง มิได้ปล่อยมือจับปากกาแต่กุมความคิด มิได้ปล่อยกายร่ายรำแต่เกร็งกังวล ใจมิกล้าก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย เราตัดสินตัวเองเสียแล้ว
เมื่อเรามองใจเรา ด้วยท่าทีผู้เชี่ยวชาญ หลักการนานาตัดสินก่อนที่เราจะเข้าใจตนอย่างแท้จริง เรามิได้มองไปที่หัวใจเรา แต่เรากำลังมองไปที่ความรู้ และการคาดหวัง ทั้งสองนี้มิใช่ความจริง ใจเราไม่อาจเผชิญหน้ากับความจริงได้อย่างซื่อใส ยังไม่พร้อมอยู่ต่อหน้าตัวเอง เพราะเรากลัวความไม่รู้ กลัวสิ่งที่ไม่มั่นคง กลัวตัวเราเองจะดูไม่ดี และความกลัวอีกมากมายที่พร้อมยกสิ่งต่างๆ มาปิดกั้น บดบังหัวใจผู้เริ่มต้น เราจึงไม่สามารถเขียนจากหัวใจหรือเขียนเพื่อบ่มเพาะตน เฉกเช่นการปลูกพืชมิอาจหว่านเมล็ดบนตำรา แต่เราต้องลงมาคลุกดิน อาจลื่นคะมำหงายไม่รู้ประสีประสา หรือร่วมร้องเพลงลงแขก เป็นเด็กน้อยของวิถีธรรมชาติ
เมื่อเรามองไปที่คนอื่น เราอาจไม่ได้เห็นเขาอย่างที่เป็น แต่กำลังรับรู้ตัวเขาจากสิ่งที่เราเคยเห็นหรือเราคิดเองว่าเขาเป็นเช่นนั้น ดวงตาเราถูกครอบงำด้วยใจที่คุ้นเคยกับบางแง่มุมของตน เราอาจมีหลักฐานน่าเชื่อถือซึ่งมักเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นหรือเจือปนด้วยความคิดเห็นส่วนตัว ในเมื่อแม้ตัวเราเองก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้และพรุ่งนี้ย่อมมีการเดินทาง เราย่อมยากพอใจหากใครคนใดมองเราแต่แง่มุมเดียว เราจะเข้าใจตัวเองและผู้อื่นอย่างซื่อตรง เราต้องนำหัวใจอันซื่อใสกลับคืนมา เริ่มมองทุกสิ่งดั่งว่าเพิ่งเคยเห็นอีกครา
หายใจเข้า ลองหลับตาอยู่ช่วงหนึ่ง นึกถึงยามเราเป็นเด็กอีกคราครั้ง หัวใจเราช่วงนั้นเป็นอย่างไร เราชอบมองหรือดูอะไรในวันวัยดังกล่าว หายใจออก นับถอยหลังในใจ สามถึงหนึ่ง ช้าช้า ค่อยลืมตาขึ้นมองสิ่งรอบตัว เรากำลังเริ่มต้นมองสิ่งเหล่านี้ใหม่ นี่คือครั้งแรกที่เราเห็นสิ่งเหล่านี้ในเวลานี้
แบบชวนฝึกเขียนเชื่อมใจสำหรับตอนนี้ ขอให้หลับตาสักครู่ใหญ่ ลองหายใจดุจดั่งแรกพบเจอลมหายใจเหล่านี้ สังเกตว่าแต่ละครั้งที่เราหายใจ มีบางสิ่งแตกต่างอยู่ และบ้างเหมือนกันอยู่ แต่ละลมหายใจมีลักษณะแตกต่าง ณ แต่ละเวลา สถานที่ และการหายใจของเรา
ก่อนลองเขียนบันทึกไม่หยุดปากกาในเวลาสิบนาทีเป็นอย่างน้อย โดยเริ่มจากคำใน “” ดังด้านล่างนี้ หากเขียนจนหมดความหมายมิอาจเชื่อมต่อได้แล้ว ให้เขียนคำนี้ใหม่และเริ่มต้นอีกครั้ง
“เริ่ม”
ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต
คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #7