หายใจเข้า อ่านลมหายใจทุกขณะดังอ่านทุกวรรควลีของหนังสือสำคัญ หายใจออก ร่างกายยามหายใจ กำลังบอกใบ้อะไรเกี่ยวกับตัวเรา
อ่านลมหายใจเรา หายใจตื้นเขิน ชีวิตเคร่งเครียดบีบคั้นเพราะสิ่งใด หายใจยาวจนหมดแรงใจ เก็บกลั้นสิ่งใดเหนื่อยอก หายใจเข้าแล้วอึดอัดหรือบีบเกร็ง อะไรหนอปิดกั้นชีวิตชีวา
ทุกบรรทัดของหนังสือ บอกใบ้ความหมายมากมายกว่าที่อักษรปรากฏ เรื่องราวแห่งเลือดเนื้อดำรงซ่อนอยู่ ผู้รู้จักอ่านนัยยะระหว่างบรรทัด หรือระหว่างอักขระที่จารึก ย่อมหยั่งลึกความหมายของชีวิตมากกว่าภาพลักษณ์ที่ปรากฏเห็นชัดเจน
หายใจเข้า ชีวิตบอกใบ้สิ่งสำคัญแก่เราเสมอ ผ่านเรื่องราวที่พบเจอ ผ่านเหตุการณ์และลางสัญลักษณ์ต่างๆ ระหว่างก้าวเดินของชีวิต เมื่อเรารู้อ่าน รู้สังเกต เราย่อมเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าไยจึงส่งสิ่งนั้นมาสู่ชีวิตของฉัน ธรรมชาติต้องการบอกอะไรจากเหตุการณ์นี้
หายใจออก เมื่อรู้อ่าน รู้สังเกต เราย่อมน้อมนำความหมายหรือข้อมูลนั้นมาใช้แก่ชีวิตเราได้ เพื่อป้องกัน เพื่อแก้ไข หรือเพื่อหาทางออก ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวเพราะเราเงียบคำหรือหลบเลี่ยงการสื่อสาร อาจบอกเราว่าจำเป็นแล้วที่ต้องพูดสิ่งที่ควรพูด หรือต้องเผชิญกับถ้อยคำความจริงที่อาจไม่หวานหู เราอาจเลือกสื่อสารเพื่อเยียวยาความไม่เข้าใจได้ทันการณ์ แทนที่จะปล่อยให้เหตุการณ์ซ้ำร้ายลง หรือเกิดปัญหาเดิมกับบุคคลใหม่
ความเป็นตัวเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่กว้างใหญ่ เป็นดั่งตัวอักษรหนึ่งบนหน้ากระดาษ เป็นดั่งหนังสือเล่มหนึ่งท่ามกลางหอสมุด เรานั้นคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การกระทำของเราส่งผลต่อสิ่งต่างๆ ที่เชื่อมโยงผูกพันกับเรา ดั่งถ้อยคำหนึ่งทำให้ความหมายของทั้งบรรทัดแปรเปลี่ยน
เมื่อเราเป็นเช่นถ้อยคำหนึ่ง นักเขียนย่อมต้องดูแลเรา เมื่อเรามีความหมายผิดเพี้ยน สื่อความไม่ชัดเจน หรือหลงประเด็น อาจหาคำหรือวลีใหม่มาประกบเคียงข้าง หรือจับลบแก้ไขเสีย หากเราเป็นเช่นหนังสือ เมื่อเราหลงทิศอยู่ผิดที่ บรรณรักษ์ย่อมปีนบันไดจับเราวางให้ถูกต้อง
หายใจเข้า ฉันใดฉันนั้น ชีวิตเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ใหญ่กว่า เมื่อเราหลงคิด หลงผิดพลาด ธรรมชาติจะหาทางสื่อสารกับเรา ธรรมชาตินั้นมิใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลเลย หากแต่เป็นตัวเรานี่เอง ร่างกายเราอาจประท้วงด้วยความเจ็บป่วย โรคร้ายที่ยากรักษาอาจบอกถึงปัญหาที่ทับถมเรื้อรัง การเจ็บคออาจสะท้อนว่าเราขาดการสื่อสารสิ่งที่ควรสื่อสาร ความคิดอาจหมักหมมจนเราปวดหัวปวดท้ายทอย ร่างกายไม่เคยโกหก แม้เราบอกว่าเราเฉยๆ หรือสบายดี แต่ร่างกายอาจบอกความจริงที่ละเอียดอ่อนกว่า
หายใจออก ความละเอียดอ่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากเราขับรถเร็วเกินไป เราคงไม่ทันเห็นป้ายบอกทางหรือสัญญาณไฟจราจร ชีวิตก็เฉกเช่นกัน หากเราทำงานเรื่อยไป ใช้ชีวิตหมดไปในแต่ละวัน มิทันหยุดใคร่ครวญ มิทันช้าลงเพื่อสังเกตสัญญาณรอบตัวและในกาย เราอาจพลาดพลั้งอยู่กลางสี่แยกของชีวิต
เมื่อเราจรดปลายปากกา หรือพิมพ์แป้นพิมพ์บันทึก เรามิเพียงเขียนสิ่งที่ต้องการจดจำ แต่เรากำลังทบทวนสัญญาณของชีวิตของวันนี้ ช่วงชีวิตนี้ หรือกาลก่อน เพื่อนำมาสังเกตอย่างใส่ใจ เพื่อสืบหาความหมายนำมาใช้ประโยชน์ บางสัญญาณอาจเป็นสัญลักษณ์ที่เข้าใจไม่ง่ายเลย ชีวิตกำลังต้องการบอกอะไรกันแน่ เหมือนการวิเคราะห์รหัสลับ ต้องมีการเก็บเกี่ยวให้มากพอ ต้องเข้าใจสถานการณ์แวดล้อม ต้องคิดทบทวนเชื่อมโยงกัน จึงสามารถตีความถอดรหัสได้ สัญญาณจากชีวิตก็เช่นเดียวกัน
เหมือนการอ่านหนังสือ เมื่อเราอ่านจนมีประสบการณ์ เราย่อมเข้าใจความหมายต่างๆ ได้ แม้ในสำนวนที่ยาก ภาษาที่เข้าใจลำบาก ก็ล้วนเข้าใจได้ด้วยการหมั่นอ่านหมั่นสังเกต ชีวิตคือหนังสือเล่มใหญ่ เรามิได้มีชีวิตเพื่อตายลงแล้วเป็นหนังสือให้คนอื่นอ่านวิจารณ์ แต่เรามีชีวิตเพื่อเป็นหนังสือที่เราจะเขียนและอ่านด้วยตนเอง
หายใจเข้า เช่นนี้แล้วผู้สนใจการเขียนบันทึกเพื่อเข้าใจชีวิต เพื่อทบทวนตนเอง ขอให้เราลองบันทึกทบทวนสัญญาณต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านมา มิว่าจะเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลางแปลกๆ ความฝันยามหลับไหล ความสัมพันธ์ใหม่ๆ และที่จางหาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราคือถ้อยคำ ทุกถ้อยคำมีคุณค่า ทุกถ้อยคำประกอบเป็นหนังสือ เป็นชีวิตของเรา
หายใจออก ให้ทุกลมหายใจเราใส่ใจเพียงพอ ความละเอียดอ่อนคือการตระหนักรู้ว่า ทุกขณะเวลาของชีวิตคือสิ่งสำคัญ
ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต
คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #14