ป่วยเพราะปิดกั้น

ตั้งแต่วัยเด็กแล้วที่ผมมักป่วยง่ายและอ่อนแอต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เดินทางไกลเปลี่ยนที่ทีก็มักเป็นหวัดไม่สบาย ขึ้นรถและอยู่ห้องติดแอร์ก็มักวิงเวียน  โตขึ้นจึงได้หมอวินัจฉัยว่าเป็น ภูมิแพ้อากาศ พร้อมกับให้ยาทานที่ทำให้ผมเพลียและคลื่นไส้อาเจียนไปหลายวัน อยู่ใกล้คนจำนวนมากๆ ก็ทำให้ผมอ่อนแอเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นคนที่อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมพอสมควร นี่คงเป็นหนึ่งเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมเคยชินกับการอยู่ลำพังสันโดษ ในอาณาจักรขนาดเล็กของตน ณ ที่เราสามารถจัดการดูแลพื้นที่ของตนให้ตัวเราสบายใจได้ แต่เมื่อล่วงวัยมาอีกระดับหนึ่ง ผมกลับหายจากอาการภูมิแพ้อากาศและแข็งแรงขึ้น จากร่างกายที่ผอมแห้งและหม่นหมอง เป็นสมบูรณ์และผ่องใสขึ้น ไม่ได้เกิดจากกาลเวลา บางทีเวลาป่วยไข้เราก็อยากจะนอนจนมันหายป่วยแล้วลุกขึ้นไปใช้ชีวิตต่อ ความจริงแล้วเวลาไม่ได้ช่วยเรา แต่เป็นการเดินทางของร่างกายและหัวใจผ่านกาลเวลา แม้ในยามเรานอนหลับ พันธมิตรในเนื้อหนังมังสาก็หาญกล้าต่อกรกับผู้รุกรานและเหนื่อยซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่ซึกหรอ เหล่านี้เรียนรู้กันตั้งแต่วัยเด็กแล้ว ย้อนมองกลับไป ผมเห็นว่าตนเองแช่มชื่นใจสดใสขึ้นเมื่อยามเปิดรับสิ่งต่างๆ ในชีวิต ทั้งสมหวังผิดหวัง เหลียวแลมองโลกหลากแง่มุม ออกจากมุมมืดที่ตนเองเกาะกุม ตอนที่ผมย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมโดนเพื่อนแกล้งมาก โดนล้อหนักมาก จนไม่อยากพูดกับใคร อยู่โรงเรียนจึงเป็นเด็กเงียบๆ เรียบร้อย เป็นจนถึงมัธยมต้น แต่พอวันหนึ่งได้เข้าค่ายลูกเสือที่ภูเขาแห่งหนึ่ง เพื่อนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเปลี่ยนไปในตอนนั้น กลายเป็นคนร่าเริงแจ่มใส สนุกกับการเดินทางไกล อ้อมกอดของภูเขาที่แม้จะร้อนและใบแห้งสีน้ำตาลมากว่าเขียวสด เติมลมหายใจให้กับเด็กน้อยผู้เคยโดดเดี่ยวท่ามกลางตึกปูนปั้น หลังจากร่ำเรียนกับครูน้อยใหญ่นอกโรงเรียน เห็นว่าตนเองมิได้ป่วยเพราะบรรยากาศรอบตัวเท่านั้น แต่เพราะบรรยากาศของใจด้วย มีขยะในนั้นที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่ารบกวนชีวิต ทั้งความคิดว่าตนเอง “อ่อนแอ” “ไร้คุณค่า” “ยากที่มีใครรัก” “คนอื่นๆยอมรับแต่ด้านที่ดีของผมและต้องตามใจเขา” “ผมต้อยต่ำและยากจะมีใครเข้าใจ” ความมืดมนในใจก่อตัวเหมือนเมฆดำ… Continue reading ป่วยเพราะปิดกั้น

ค้นพบตัวเองอย่างต้นไม้

    หลังจากเราย้ายบ้านขององค์กรและที่จำศีลของตนเอง ผมพบว่าการปลูกต้นไม้ และเฝ้าดูแลการเติบโตของพี่น้องแตกใบเหล่านี้ให้ความสุขในแบบที่ไม่คิดฝัน ท่ามกลางพื้นที่เล็กๆ พวกเขาทยอยสร้างความประหลาดใจและความอิ่มใจกับการทักทายมนุษย์ผู้อาศัย ด้วยการพิสูจน์ที่ทางของการมีชีวิต ดินกระถางน้อยๆ ถูกแต้มด้วยกลีบใบทีละนิดดุจหยดสีลงในผืนผ้าน้ำตาล ต้นอ่อนทานตะวันลากเลื้อยตัวเองไขว่คว้าหาแสงสว่าง ต้นตำลึงที่ไม่ได้ปลูกเองแต่คิดหวังในใจอยากปลูกมาร่วมสองเดือน จู่ๆ ก็ผุดงอกขึ้นใกล้ท่อน้ำ สายลมใดพัดพามากันหนอ กระทั่งยามลงต้นไผ่หน้าเรือน ผู้ใจบุญก็นำต้นไม้และโอ่งน้ำมามอบให้ทันที   ผมไม่ได้ปลูกต้นไม้เพราะเป็นงานอดิเรก หรือเป็นความจำเป็นของการแต่งบ้าน แต่เพราะความสุขและคุณค่าอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้สังเกตในคราวแรก แอบซ่อนอยู่ในการกระทำ คนเรามีที่ทางการค้นพบตัวเองได้หลากหลาย และมีที่ทางให้ตนเองหยัดยืนได้เสมอ บางครั้งเราก็ได้แต่รดน้ำและมองดูการต่อสู้กับความมืด จนกระทั่งมันงอกใบสู่แสงสว่างด้วยตนเอง บางครั้งเราก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ตนและคนอื่นได้บ้าง แต่กระนั้นทุกชีวิตมีหนทางและที่ทางให้ตนเองแตกใบ แม้มันไม่ใช่วันนี้ก็ตาม   การค้นพบตัวเองอาจจุดประกายขึ้นในการอบรม จากวิทยากรและกระบวนการต่างๆ หรือการแสวงหาด้วยวิถีนานา อาจบ่มปัญญาจากการสะท้อนและการถูกวิจารณ์จากผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นเหมือนกับรดน้ำทีละครั้งทีละครั้ง แก่เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในเนื้อตัวและนาใจ คำสอนที่ดีและประสบการณ์ที่ดีอาจเป็นปุ๋ยเลอคุณค่า ความทุกข์เน่าเปื่อยกลายเป็นซากก็ล้วนเกื้อกูลต่อการเติบโต กระนั้น เมล็ดพันธุ์ใดใดจะงอกงามขึ้นมาได้ ปัจจัยภายนอกมิเคยเพียงพอ แต่ด้วยลงมือทำเพื่อก้าวข้ามจากเปลือกเมล็ดพันธุ์สู่ต้นอ่อนและทยอยเหยียดยอดใบสู่แสง เป็นหน้าที่ของชีวิต   เราก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าข้างในตนเองเป็นอะไร จะมีสีสันสักเพียงไหน จนกว่าเราจะยอมโตขึ้นและแตกกิ่งใบออกมา เมื่อดอกแย้มบานเราจะเห็นว่าตนเองงามเพียงใด ผมค้นพบแรงผลักดันตนเองระหว่างการลงดิน รดน้ำ จัดแจงหาที่ทางแก่ต้นอ่อนน้อยๆ ว่าผมมีความสุขกับการบ่มเพาะและหยั่งเห็นการเติบโตมาก เป็นความสุขที่สงบใจ ไม่ต้องใฝ่หาจากสิ่งใด… Continue reading ค้นพบตัวเองอย่างต้นไม้

สนทนากับเจ้าตัวเล็ก…เมื่อฉันอิจฉา…

  สนทนากับเจ้าตัวเล็ก…เด็กน้อยภายใน ตอน  …เมื่อฉันอิจฉา… โดย สุพัตรา   ฉัน : เด็กน้อยฉันมาแล้ว มาคุยกันเถอะ! เ ด็ ก น้ อ ย ภ า ย ใ น : ฉันก็มาแล้ว เย้! คิดถึงเธอจัง ฉัน : ฉันก็คิดถึงเธอ เ ด็ ก น้ อ ย ภ า ย ใ น : เธอเป็นอะไรรึปล่าว ? ฉัน : ปล่าว ฉันไม่เป็นไร แต่คือ…วันนี้ฉันรู้สึกอิจฉาเพื่อน  เ ด็ ก น้ อ ย ภ… Continue reading สนทนากับเจ้าตัวเล็ก…เมื่อฉันอิจฉา…

7 บทเรียนต้นไม้สอนมนุษย์

  ต้นไม้เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของเรา แสดงธรรมและสอนบทเรียนต่อชีวิตอยู่เสมอแม้เราจะสังเกตหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านก็เรียนรู้จากต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ร่มเงาของโพธิใหญ่ เราลองสังเกตชีวิตของพวกเขา เราอาจได้บทเรียน 7 ข้อนี้หรือมากกว่า 1 แก่นแท้ของชีวิตไม่อาจตัดสินได้แค่ ฤดูเดียว ช่วงเวลาหนึ่งต้นไม้อาจทิ้งใบโกร๋น อีกฤดูงอกใบสะพรั่ง ฤดูกาลต่อมาอาจมีดอกไม้แบ่งบานตา แล้ววันหนึ่งก็ผลิผลสุกปรั่งให้กิน ชีวิตมีฤดูกาล วันนี้เราอาจเห็นตนเองหรือคนอื่นเหมือนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา วันหนึ่งเมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสม อาจกลายเป็นต้นไม้ที่สวยเด่นสง่า 2 เปลือกนอกกับภายในแตกต่างกันได้ บางผลอย่าง มะเดื่อ “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” ผิวเปลือกงามข้างในแมลงแทะกิน หรือหลายผลไม้ที่ภายนอกเปลือกแข็งกระด้าง แต่ภายในอ่อนหวาน อย่างมังคุด ผลไม้จากต้นไม้สอนเราว่า สิ่งที่แสดงออกภายนอกอาจปกปิดภายในที่แตกต่างออกไปก็ได้ อย่าเชื่อแต่ภาพลักษณ์หรือสิ่งที่ตาเห็นหรือสัมผัสจับต้องได้เท่านั้น 3 ต้นไม้สอนเราให้ไม่ย่อท้อ และมานะขันแข็ง ถึงแม้บางฤดูกาลจะร้อนร้าย หรือสายฝนพายุกระหน่ำ ต้นไม้ก็เพียรพยายามปรับตัวให้อยู่รอด อดทนตรำตากแดดซึมซับปรับเปลี่ยนเป็นพลังหล่อเลี้ยงชีวิต แม้บ้างยืนต้นมิมีใครเห็นคุณค่า ก็ยังทำตามหน้าที่ของตนอยู่เสมอไป 4 ร่มเงาและผลไม้จากต้นไม้ มิได้หวงแหนเห็นแก่ตัว มิได้เลือกที่รัก มักที่ชัง ใครจะเด็ดหรือเก็บผลก็ยินดีต้อนรับ ต้นไม้เป็นแบบอย่างของใจเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อสิ่งที่ดีให้แก่ทุกๆ สรรพสัตว์  ตั้งแต่ดอกอันหอมกรุ่น ผลไม้เลี้ยงชีวิต จนถึงลำต้นตัวมันเอง กล่าวกันว่า… Continue reading 7 บทเรียนต้นไม้สอนมนุษย์

อย่าหนีแสงสว่างไปในเขาวงกต

บทความ “ไกด์โลกจิต” ตอน อย่าหนีแสงสว่างไปในเขาวงกต   ความกลัวทำให้เราหลับตา เราคิดไปเองว่าความทุกข์นั้นมืดดำ แท้จริงแล้วความทุกข์นั้นคือแสงสว่างที่เรามิกล้าเผชิญ เปลวแดดอาจทำให้เรารู้สึกอยากอยู่แต่ในร่มเงาอันปลอดภัย ทว่าต้นไม้กลับยืนหยัดขึ้นสู่แสง เป็นธรรมดาที่คนเรามักหนีความทุกข์ วิ่งหาร่มเงาพึ่งพิงหรือสร้างหลังคาคลุมตน ทั้งที่แท้จริงเราดั่งต้นไม้ และทุกข์นั้นคือแสงสว่าง เรากลัวร้อนหรือเผาไหม้จึงหลบเลี่ยงไป แต่ทุกข์นั้นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีชีวิตและเติบโต จากการให้คำปรึกษา สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคือหลายคนรู้สึกยากที่จะเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ตนเองทุกข์ มีคำว่ายากและเงื่อนไขมากมายที่จะกล่าวอ้างขึ้นเมื่อมาเห็นว่าปัญหาคืออะไรและพอมีทางแก้อย่างไร บางคนต้องการแสวงหาคำตอบมากกว่านั้น ต้องการดำดิ่งลงลึกซึ้งหรือหาคำอธิบายให้กับสิ่งที่กำลังเผชิญอย่างสำคัญเด่นชัด บางคนมั่นหมายกับคำตอบที่มีอยู่แล้วเป็นสมการอันซับซ้อนที่ยากจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ เราอาจพอสรุปได้ว่าจิตใจคนนั้นซับซ้อน แต่ก็ไม่เชิงจริงเสียทีเดียว ประเด็นสำคัญคือคนเรามักสร้างความซับซ้อนนั้นขึ้นมา ทำให้หัวใจเราเป็นเขาวงกตดีๆ หรือมีเงื่อนไขมากมายดังประตูซ่อนกล เราทำให้หัวใจเราซับซ้อนเพราะหวังปกป้องตัวตนเราจากความทุกข์ ตั้งใจให้ความทุกข์ที่เคยมีแตะไม่ถึงตัว วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตแห่งใจ หาตัวตนเราไม่พบ ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่เราปกป้องตัวเองเรา การปกป้องตัวเรานั้นมีคุณค่า แต่การหลบเลี่ยงความทุกข์ด้วยการสร้างเขาวงกตหรือหนีปัญหา ยิ่งซ้ำร้ายปัญหาและขัดขวางแสงสว่างมิให้มาหล่อเลี้ยงชีวิต เรากลัวแดดมากเกินไป กลัวแสงสว่างจะเผาไหม้ตัวเราทุกข์ตรม ทั้งที่ธรรมชาติของชีวิตมิอาจขาดความทุกข์เพื่อหล่อเลี้ยงตัวเรามิให้ประมาท เข้มแข็ง อ่อนน้อม และเข้าใจชีวิตอย่างที่เป็น ชีวิตเป็นเช่นนั้น หัวใจเราก็เป็นเช่นอย่างที่เป็น แต่ความกลัวภายในกลับหล่อหลอมเราเป็นเขาวงกตที่ซ่อนตัวเราเองไว้จากแสงสว่างและความเข้าใจตัวเราอย่างที่เป็นจริง ต้นไม้เพียงยอมรับตัวตนและชีวิตอย่างที่เป็น จึงเติบโตและหยั่งรากท่ามกลางฤดูกาลต่างๆ โดยมิต้องเสียแรงหลบหนีความทุกข์ใด ต้นไม้มิได้สร้างหลังคาหรือเขาวงกตจิตใจ เพียงเผชิญหน้ากับสายลม ฝนตก และแดดจ้าอย่างผ่าเผย ถ้าสายฝนดั่งความเศร้า โลกนี้ก็มีความเศร้าอยู่มากมาย แต่ต้นไม้ยังคงสอนคนในศาลาคนเศร้าเสมอว่า ชีวิตก็เพียงเท่านั้น ฤดูกาลฝนมาแล้วก็ลับหาย… Continue reading อย่าหนีแสงสว่างไปในเขาวงกต

สะกดจิตในชีวิตประจำวัน

การสะกดจิตหรือพลังจิตไม่ใช่เรื่องพิเศษ แต่เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกขณะจิตและในชีวิตประจำวัน เมื่อเรารู้เท่าทัน และเมื่อเรารู้ใช้ เราย่อมเปลี่ยนความธรรมดานี้ให้แตกต่างและสร้างสรรค์ได้ ติดตามความรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.youngawakening.org/write4life อ่าน หลักสูตรห้องเรียน พลังจิต ได้ที่ https://www.dhammaliterary.org/?page_id=3043  

เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง

บทความ “ไกด์โลกจิต” ตอน เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง   เราทุกคนต่างเหมือนดาวฤกษ์ เรามีแสงสว่างในตนเอง กล่าวคือ ทุกๆ คนต่างมีปัญญาและกำลังความสามารถซึ่งจะช่วยให้เราหาออกและคำตอบใดใดกับชีวิตได้ แต่เหตุใดเราจึงหลงลืมและละเลย แสงสว่างในตน หลายคนที่วิ่งไล่ไขว่คว้าหาแสงสว่างจากภายนอก ฉวยคว้าบุคคลหรือวัตถุเพื่อช่วยชูพลังใจ ให้มั่นใจให้รู้สึกมีค่า หลายคนเข้าออกการอบรมมากมายหลายหน เราได้มา สิ่งต่างๆ ที่ไขว่คว้าเพื่อหวังเติมพลังและแสงสว่าง รู้สึกเหมือนมีพลังมากมายในตอนต้น กลับแล้วเวลาผ่านเลยก็แห้งเหี่ยว หมดพลัง เบื่อหน่าย ไร้คุณค่า ดังว่าเรากำลังหลงทาง เที่ยวไล่แสงสว่างจากดาวดวงอื่น หมายมั่นให้ดาวตนนั้นสุกใส เราอาจเกาะกระแสแฟชั่น ยึดโยงเพจโซเชียลข่าวสารออนไลน์ เกาะติดการอบรมเทรนนิ่ง ฉวยเอาคุณค่าของสิ่งอื่นเข้ามาเป็นของตน เหมือนดังดวงดาวเอาตัวรับแสงจากดาวอื่น หลงลืมคุณค่าและความงามที่ตนเองมี ทั้งที่เราตางมีจิตใจเหมือนกัน มีจิตใจที่มีอำนาจจิต คิดปรุงแต่งและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ เหตุใดเราจึงขาดพลังและโหยหาสิ่งอื่นทดแทน แต่เหตุใดคนบางคนกลับยืนหยัดด้วยแสงสว่างของตนเองได้ ย้อนมองที่การโหยหาของตัวเรา เราอาจพยายามเป็นอะไรที่อาจไม่ใช่ตัวเราเลย เราอาจไขว่คว้าบางสิ่งมาทั้งที่รู้ว่ามันไม่ยั่งยืน จิตใจที่คิดถึงส่วนขาดไป มักเห็นแต่สิ่งที่ขาดนั้นจนลืมความดีหรือสิ่งที่ดีที่มีอยู่แล้ว  เพราะการให้คุณค่ากับสิ่งที่ขาดไป จึงละเลยคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ ความรู้สึกไม่พอใจ หรือโหยหาก็เกิดขึ้นตามมา บางทีเราก็รู้แล้วว่าตนเองมีแสงสว่างอยู่ภายใน มีปัญญา มีพลัง แต่เราขาดความแน่ใจว่ามันมีคุณค่ามากเพียงพอ หรือไม่กล้านำมันออกมาใช้ด้วยตัวเราเอง ย้อนมองที่การพึ่งพิงของตัวเรา เราพึ่งพาบางสิ่งมากเกินไปหรือไม่… Continue reading เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง

“แข็งขัน” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๗

คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๗ ตอน “แข็งขัน” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์   ไม่ว่าจะทะเลาะกันอย่างไรก็ตาม พอออกจากค่ายแล้ว  ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็มีสูงมาก แม้คนที่เป็นกำลังหลักหลายคนจะสอบติดมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด แต่ที่เหลืออยู่ในกรุงก็มากพอที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ ชีรฯไปติดที่เชียงใหม่ ปกรณ์ ติดมอ.สงขลาฯ ป้อม ติดพยาบาลสงขลา  พวกเพื่อนห้องผมและจากเตรียมอุดมฯส่วนใหญ่ติดที่มหิดล รวมทั้งใหญ่ สันติสุข ศุภมิตร และวิญญู กลุ่มใหญ่ที่สุดจากค่ายติดครุศาสตร์จุฬาฯ จำได้ว่า๘ คนด้วยกัน ผู้ชายนั้นนอกจากผมและมนัสแล้ว ก็มีสมพร เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาจากวัดบางปะกอกอีกคน  แต่เขาไปเรียนมัธยมที่วัดมกุฎฯ นอกนั้นก็มีศิริวรรณ จินดาพร อุษณีษ์ และ บุญดี  วรุธติดเกษตร แล้วก็ห่างออกไปเรื่อยๆ ผลการสอบของผมเอง แม้จะบอกว่าไม่ติดยึด แต่ก็ยังผิดหวังอยู่นิดหน่อยที่ไม่ได้ติด ๕๐ คนแรกของประเทศไทย แต่ยังอยู่ในประเภท เกินร้อยละ ๘๐ เข้าใจว่ามีชื่อประกาศลงหนังสือพิมพ์ด้วย อัตตามาถูกชดเชยได้ก็ตรงที่มาสอบเข้าครุศาสตร์ได้เป็นอันดับแรก แต่ก็หลอกตัวเองไม่ได้มาก… Continue reading “แข็งขัน” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๗

“คล้ายฝัน” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๖

คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๖ ตอน “คล้ายฝัน” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์     ผมจำเรื่องราวที่ทำค่ายจริงๆได้น้อยมาก รู้แต่ว่าเป็นช่วงที่ความรู้สึกเข้มข้นมาก มองย้อนไปคล้ายเป็นความฝันเสียมากกว่าความจริง คงเป็นลักษณะจมอยู่ในเหตุการณ์อย่างหมกมุ่นจนไม่ได้มีมุมมองของคนนอกเลย ถ้าจะให้ชัดขึ้นคงต้องอาศัยความจำของคนอื่นด้วย เท่าที่จำได้ พอสอบเสร็จ เราก็แบ่งกันเป็นสองทีมใหญ่ๆ ทีมหนึ่งมนัสเรียกทัพหน้า ไปเตรียมค่ายที่สามโคก เพื่อรับพวกเราสามสิบกว่าคนที่จะมาอยู่ค่ายประมาณ ๒๐ วัน อีกคณะเรียกว่าทัพหลวง เตรียมเสบียงและอุปกรณ์ต่างๆและรับคนส่วนใหญ่ตามไป ผมไปกับทัพหน้า มนัสอยู่ทัพหลัง มนัสเคยเป็นโต้โผทำค่ายลูกเสือมาแล้ว จึงคล่องงาน พวกที่อยู่ทัพหน้าก็ทำหน้าที่ขุดส้วม เตรียมที่พักชายหญิง แยกจากกัน เตรียมที่อาบน้ำอาบท่า เตรียมที่ทางสำหรับทำอาหาร เราอาศัยวัดเป็นที่พักและประชุม พระมีไม่มาก รูปหรือสองรูปเท่านั้น ผมเข้าใจว่าตอนนี้มีรุ่นน้องชั้นมศ๔ เข้ามาร่วมจริงจังหลายคนแล้ว คนที่จำได้แม่นที่สุดก็คือประยุทธ  พฤกษางกูร จากเตรียมอุดมฯ ที่ไปเตรียมค่ายด้วยกัน เนื่องจากค่ายฝึกกำลังคน ไม่เน้นการสร้างวัตถุ ช่วงเช้าของทุกวันจึงมีรายการบรรยาย ระหว่างนี้คนที่อยู่กรุงเทพฯ ก็ติดต่อเชิญวิทยากรให้ไปบรรยายในค่ายด้วย ผมเข้าใจว่าบางคนอาจเชิญไว้ก่อนสอบ… Continue reading “คล้ายฝัน” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๖