คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๕ ตอน “เตรียมค่าย” เขียนโดย ประชา หุตานุวัตร เขียนเสร็จเมื่อปลายเหมันต์ ปี ๒๕๔๘ แก้เกลาใหม่ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระท่อมน้อยในทุ่งฝัน ชุมชนฟินด์ฮอน สก๊อตแลนด์ กลับมาเรื่องกลุ่มยุวชน หลังจากคิดเรื่องตั้งกลุ่มไม่นานความคิดเรื่องอยากทำค่ายฝึกกำลังคนก็เกิดขึ้น นี้เป็นผลโดยตรงจากข้อเขียนเรื่องค่ายฝึกกำลังคนของโกมล คีมทอง ซึ่งสอดคล้องกับความคิดของท่าน อาจารย์พุทธทาสเรื่องก่อนจะทำประโยชน์ให้สังคมต้องพัฒนาตนเองก่อน สมัยนั้นนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆนิยามออกไปทำค่ายอาสาสมัครในชนบทโดยสร้างโรงเรียนหรือถาวรวัตถุอื่นๆในชนบท แต่ชมรมปริทัศน์เสวนาที่โกมลสังกัดอยู่ได้ก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์แนวทางนั้นขึ้น ว่าเน้นแต่วัตถุไม่ได้เน้นเรื่องสร้างคน โกมลได้ริเริ่มค่ายการศึกษาขึ้นที่คณะครุศาสตร์ ผมเข้าใจว่าน้าอาจที่ปรึกษาค่ายของเราและเป็นรุ่นเดียวกับโกมลก็ไปร่วมค่ายนี้ของโกมลด้วย ข้อได้เปรียบของนักเรียนมัธยมรุ่นผมอีกอย่างที่ได้อ่านงานของโกมลก็คือ ทำให้เรารู้ว่าพวกหัวก้าวหน้า ในมหาวิทยาลัยนั้นเขาคุยอะไรกัน เขาเถียงประเด็นอะไรกันบ้าง พอก้าวเข้ามหาวิทยาลัยในปีต่อมา พวกเราก็เลยอยู่หัวขบวนในเรื่องความคิดความอ่านโดยปริยาย แต่ทั้งนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นเข้าเสริมด้วย โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับเรื่องเนื้อหาของค่ายและสายสัมพันธ์กับจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ค่อยๆโยงเข้ามา ช่วงนั้นมีค่ายที่ค่อนข้างก้าวหน้าอีกแบบหนึ่งคือค่ายเยาวชนประชาธิปไตยของ ธัญญา ชุนชฎาธาร หรือพี่หงา ซึ่งเรารู้จักคุ้นเคยที่งานสัมมนาอุดมคติคนหนุ่มสาวที่เชียงใหม่ ที่มีขึ้นในเดือนพฤษจิกายน ปี ๒๕๑๔ แต่เราอาจรู้จักพี่หงามาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปริทัศน์เสวนาแล้วก็ได้ เพราะจำได้ว่าพออ่านหนังสืองานศพของโกมล แล้วก็สืบเสาะตามที่อยู่ในหนังสือไปที่ร้านศึกษิตสยาม และได้พบกับสองสาวนักแสวงหาจากศึกษานารี ดังกล่าวมาแล้ว จากนั้นก็ได้ไปร่วมเสวนาเป็นครั้งคราว คนที่เราหรือผมสนิทสนมด้วยมากที่สุดเป็นคนแรกเห็นจะเป็นพี่เชาวชาติ นัยนแพทย์… Continue reading “เตรียมค่าย” คอลัมน์ ความหลังครั้งยุวชนสยาม #๕
Author: admin
พุทธะในอ้อมกอด #ปัญญามีความรัก ๕
ปัญญามีความรัก #๕ พุทธะในอ้อมกอด เล็ก ฉันคิดถึงเธอนะ ในความดีงามที่ก่อเกิดระหว่างกันของการพบเจอ สิ่งที่แสนสวยงามเกินกว่าจะพรรณาแนบชิดอยู่เคียงข้างฉันในยามโอบกอด ด้วยปัญญาของฉันและหัวใจของเธอ อ้อมแขนนี้คือบ้านอันอบอุ่น ฉันมิได้กอดตัวตนคนที่ฉันรัก แต่เรากำลังกอดธรรมะที่อยู่ในกายของกันและกัน เราอย่าทิ้งกันและกันเลยนะ เหมือนที่ผู้คนต่างๆ ทิ้งตนเองและทิ้งเพื่อนชีวิต ไขว่คว้าหาคุณค่าแท้ของชีวิตจากภายนอกกันมากมาย บางครั้งเราแสวงหวังภูมิอันประเสริฐ ดินแดนแห่งพระแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ทำบุญกุศลกับสิ่งนอกตัว แต่หลงลืมว่า ณ ที่แห่งนี้ ในร่างกายของเรา คือเนื้อนาบุญหนึ่ง มีธรรมะให้เรียนรู้ มีความจริงให้เรารักและเข้าใจ ดินแดนแห่งพระความรักอันยิ่งใหญ่ ก่อเกิดในกายของเรา ฉันเห็นสิ่งที่มิอาจเห็นด้วยดวงตา รู้ในสิ่งที่ไม่อาจรู้ด้วยการคิด เข้าใจด้วยสิ่งเหนือกว่าหัวใจของคนๆ หนึ่ง เพราะสิ่งที่มีลมหายใจอยู่ในเธอ คือของขวัญอันยิ่งใหญ่ของโลก และเล็กจนบางทีสายตาคนเราอาจมองข้าม เราจึงควรอยู่ใกล้กัน เพื่อเรียนรู้ธรรมอันง่ายงามในกาย วาจา และใจของเรา ดวงตาของฉันมีข้อจำกัด บางส่วนของเนื้อนาบุญน้อยนี้มิอาจเห็นด้วยตนเอง ขอเธอจงช่วยเตือน ช่วยเป็นตาที่ฉันไม่มี เพื่อเราจักเห็นภาพแห่งความดีในกายของเราได้ทุกแง่มุม แล้วฉันจะเป็นหูแก่เธอ เพื่อฟังเสียงที่เธออาจมิทันฟัง สรรพเสียงแห่งธรรมที่เต้นระหว่างลมหายใจ เมื่อความเป็นเช่นนั้นของฉันและเธออยู่ร่วมกัน ณ ที่แห่งนี้คือบ้านอันอบอุ่น คือที่ที่เราจะลงมือเพาะปลูกความรักที่แท้ที่จะละความเป็นเธอและฉัน มีเพียงเราเช่นนั้น… Continue reading พุทธะในอ้อมกอด #ปัญญามีความรัก ๕
พรหมวิหารในหน้ากระดาษ (1)
หายใจเข้า เราเติมความรักลงในตัวเรา ด้วยลมหายใจนี้ เพราะการหายใจคือความรักที่เรามีต่อตนเอง และการมีชีวิตอยู่ หายใจออก เพราะภายในเราเปี่ยมเมตตา เราจึงใช้ชีวิตอย่างมีความรักต่อตนเอง งาน สิ่งต่างๆที่เราลงมือทำ ต่อเพื่อนชีวิต และต่อสิ่งแวดล้อม เราใช้ชีวิตอย่างเมตตาตนเองมากเพียงใด ผลปรากฏผ่านความสุขความทุกข์ขณะวันเวลา และสัญญาณชีวิตต่างๆ ความเมตตาคือการปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น บ่อยครั้งเราเชื่อว่าตนเองหวังดีต่อชีวิต แต่เหตุใดการไขว่คว้า พฤติกรรม และความนึกคิด กลับทำร้ายตัวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ดั่งการจรดปลายปากกาชีวิตลงหน้ากระดาษของวันคืน เมื่อน้ำหมึกเต็มด้วยโทสะและความเกลียดชัง แม้ภาพคำปรากฏสวยงามแต่ก็เป็นยาพิษแก่ตนและผู้อื่น หายใจเข้า เราอาจเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นไม่มากพอ เมล็ดพันธุ์แห่งกิเลศภายในเติบโตบดบังจากความสุขที่แท้จริง สิ่งที่เราลงมือทำอาจมีความหวังดี แต่มิได้นำสู่ความสุขที่สมดุล หรืออาจไกลห่างจากเป้าหมายที่แท้จริง เพราะเรายังขาดเมตตาต่อตนเอง เราอาจไขว่คว้าหรือดื่มกินสนองความอยากชั่วครั้งชั่วคราว ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับก่อทุกข์ระยะยาวหรือสร้างปัญหาตามมา หายใจออก เมื่อเราเติมความรักลงในกายใจ เมตตาดั่งน้ำเจือจางยาพิษในปากกาชีวิต สิ่งที่เราเขียนลงหน้ากระดาษหนังสือหรือวันคืน ย่อมก่อความสุขที่ลึกซึ้งและเกิดคุณค่าแท้ เราลองพิจารณาพฤติกรรมของตนเองด้านต่างๆ สิ่งเหล่านั้นสะท้อนว่าเรามีเมตตามากเพียงใด ทั้งต่อตนเองและสิ่งรอบข้าง แม้เราสังเกตว่าชอบดูแลตนเอง มีพื้นที่ส่วนตัวเหมาะสม แต่กระทำต่อสิ่งของหรือคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจ นี่ย่อมเป็นสัญญาณบอกว่าเรายังขาดเมตตา แม้ดูแลตนหลายด้าน แต่บางด้านอาจละเลยทอดทิ้ง เมื่อเรากลับมาใส่ใจตนเองอย่างรอบด้านและลึกซึ้งเท่านั้น เราจึงสามารถรดน้ำแห่งความรักลงในผืนแผ่นดินของการมีชีวิตอยู่ คนมักรักตนเองเพียงบางด้านที่ถูกใจ เช่นเดียวกับที่ยอมรับด้านที่ถูกใจตนของคนอื่น เพราะเราขาดความใส่ใจมากพอที่จะหยั่งเห็นคุณค่าหรือสิ่งดีงามที่ซ่อนอยู่ในด้านลบของเขา แล้วเราเองอาจหลงลืมว่า เบื้องหน้าก็คือกระจกที่สะท้อนตัวตนของกันและกัน… Continue reading พรหมวิหารในหน้ากระดาษ (1)
“อารมณ์ศิลปะ” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๘
“อารมณ์ศิลปะ” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๘ โดย น้องเล็ก “We rip the start, the colors disappear I never watch the stars there’s so much down here So I just try keep up with them Red, orange, yellow flicker beat sparking up my heart.”* เขาว่ากันว่าศิลปินเมื่อผิดหวังหรือไม่พอใจในบางสิ่งบางอย่าง จะสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกได้ ณ เวลานั้น เขาจะทุ่มเทหัวใจและฝีมือสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้า ระบายความไม่ได้ดั่งใจและโทสะ ซึ่งฝังรากหยั่งลึกในหัวใจของเขาออกมาสู่งาน ความผิดหวังยิ่งรุนแรงมากเท่าใด อารมณ์ที่ส่งต่อสู่ชิ้นงานก็จะมีความจริงจังมากขึ้นเท่านั้น สร้างสรรค์ศิลปะประดับคู่โลกใบนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉันไม่เคยอยากสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเลยด้วยซ้ำไป เพราะฉันไม่เห็นถึงความสวยงามที่งานศิลปะมีนอกเหนือไปจากวัตถุธรรมดาก็มีได้… Continue reading “อารมณ์ศิลปะ” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๘
วันเวลาให้โอกาส
หายใจเข้า ในแต่ละนาที เราหายใจเข้าและออกมากเพียงใด ลมหายใจเราเดินทางสู่ภายในสั้นยาวเพียงไหน หายใจออก ปลดปล่อยลมหายใจตามวันเวลา มิใช่ปล่อยปละลมหายใจล่วงผ่านวันเวลา ชีวิตเรามีคุณค่า ลมหายใจเราจึงมีคุณค่าเกินกว่าจะทอดทิ้ง บางเหตุการณ์ ยากเหลือจะรับมือ เราต่างต้องการความเข้มแข็ง แต่บางทีหัวใจข้างในก็มิอาจฝืนยืนหยัด ล้มลงยอมอ่อนแอ เราหวังว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยา บางเหตุการณ์ มิอาจคิดหาหนทางแก้ บางคนบางใครยากเหลือจะสื่อสารกันให้เข้าใจกว่านี้ เราหวังว่าวันเวลาจะช่วยประสาน หวังว่าท้องฟ้าแห่งกาลเวลาวันหน้าจะเปิดโล่งแจ่มใส มีแสงส่องกระจ่างให้เห็นหนทางไป จากวันนี้ที่มืดมน หายใจเข้า วันเวลาช่วยแก้ไขได้จริงหรือไม่ หรือบางสิ่งที่ในใจเราเองที่จะเปลี่ยนแปลงผ่านวันเวลา หากชีวิตเราคือการก้าวเดิน วันเวลาที่มิใช่สายลมที่พัดพาเราก้าวไปข้างหน้า หากแต่วันเวลาคือระยะทางที่สองเท้าของชีวิตย่างก้าว ระยะทางนั้นมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นจากความตั้งใจและการลงมือทำของเรา หายใจออก ในโลกของหน้ากระดาษ ทุกบรรทัดคือโอกาสของการสร้างสรรค์ พื้นที่ว่างหยิบยื่นทางเลือกให้เราตัดสินใจ ลากเส้นขีดสีเติมคำ ดำเนินเรื่องราวและเนื้อหา ลมหายใจจับปากกาเชื่อมโยงชีวิตสู่ทุกการกระทำ เหตุการณ์ในตอนนี้เรารู้สึกอับจนหนทาง เรารอคอยและฝากฝังกาลเวลาดูแล สิ่งนี้บอกว่าเรากำลังมีความหวัง เราหวังว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นตามโอกาสและจังหวะของมันเอง การคิดเช่นนี้ ในแง่ดีคือการไม่ยึดติด ไม่บีบคั้น และผ่อนคลายตน ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามธรรมชาติจัดสรรบ้างก็ดี มิจำเป็นต้องบังคับการเขียนให้เป็นไปตามแผนทุกวรรคตอน ยอมให้ปากกานำทางบ้าง เราอาจได้แตกแถวของความคิดแบบเดิมหรือมุมมองแบบเดิม ได้เห็นเรื่องราวใหม่ เปิดโอกาสให้สิ่งที่ไม่คาดฝันได้ผลิเผย แต่ทว่า หากเราปล่อยให้วันเวลาจัดการ… Continue reading วันเวลาให้โอกาส
อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๗
“วันเวลาให้โอกาส” ……หากชีวิตเราคือการก้าวเดิน วันเวลาที่มิใช่สายลมที่พัดพาเราก้าวไปข้างหน้า หากแต่วันเวลาคือระยะทางที่สองเท้าของชีวิตย่างก้าว ระยะทางนั้นมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นจากความตั้งใจและการลงมือทำของเรา… “อารมณ์ศิลปะ” …… เขาว่ากันว่าศิลปินเมื่อผิดหวังหรือไม่พอใจในบางสิ่งบางอย่าง จะสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกได้ ณ เวลานั้น เขาจะทุ่มเทหัวใจและฝีมือสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้า ระบายความไม่ได้ดั่งใจและโทสะ ซึ่งฝังรากหยั่งลึกในหัวใจของเขาออกมาสู่งาน…. ~ ภาพปก จากอบรม “พลังแห่งจิต หนึ่งคิดลิขิตใจ” ~ อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ๑๗ ณ ธันวาคม ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑ อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน รายการบทความประจำ ฉบับ ความหลังครั้งยุวชนสยาม ตอนที่ ๔ ตามขุด คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน วันเวลาให้โอกาส คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก ตอน อารมณ์ศิลปะ คอลัมน์ สัมผัสใน… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๗
“เขียน = ค้นพบตัวเอง ” ประจำปี ๒๕๕๙ เปิดรับสมัคร
การอบรมกึ่งออนไลน์ และ Workshop ๒ วัน กระบวนการเขียนเชิงกระบวนการจิตวิทยาเพื่อการรู้จักตน “เขียน = ค้นพบตัวเอง” ประจำปี ๒๕๕๙ โดย สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ในความร่วมมือกับ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ *** เปิดรับสมัครเฉพาะ Workshop แบบที่ ๑ : วันที่ ๑๖ – ๑๗ มกราคม ********* “การเขียนลักษณะนี้มิใช่การเขียนเพื่อการสร้างสรรค์ผลงานแต่เป็นการค้นหาและการเดินทางเพื่อการรู้จักตนเอง เสมือนหน้ากระดาษคือบานกระจกเงา เมื่อเราเขียนในกระบวกการนี้ คือการที่เรากำลังส่องดูตน หัวข้อ การเขียน = ค้นพบตัวเอง ถือเป็นหัวข้อการอบรมแรกของหลักสูตรเขียนเปลี่ยนชีวิตกึ่งออนไลน์ ก่อนที่จะก่อเกิดเนื้อหาการอบรมการเขียนเพื่อการบำบัดเยียวยาและการภาวนา ตามลำดับ สำหรับผม ผู้สอนและผู้เชื้อเชิญให้เราร่วมเดินทางผ่านปลายปากกาและเส้นสี การเขียนเพื่อย้อนมองตนถือเป็นประสบการณ์ช่วงแรกของการค้นคว้าการเขียนกับการพัฒนาชีวิต โดยใช้ลมหายใจและวิญญาณของตน ส่องดูตนเองหลากหลายด้านและผ่านอุบายการเขียนหลากหลาย ก่อนจะเริ่มตกผลึกจากประสบการณ์สังเกตความเป็นตัวตน ทดลองสอน สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ก่อนการเขียนเชิงกระบวนการจะเริ่มชัดเจนและทักษะการให้คำปรึกษาเชิงการสะท้อนร่วมกันจะหนักแน่น ผมประจักษ์ว่าการเดินทางเพื่อการค้นหาตนหรือเพื่อรู้จักตนเองมิใช่เส้นทางที่ตายตัวและสุดสายง่ายดาย กลไกการยึดมั่นและการปล่อยปละยังคงปิดบังตาเราอยู่หลายครั้งหลายหน… Continue reading “เขียน = ค้นพบตัวเอง ” ประจำปี ๒๕๕๙ เปิดรับสมัคร
ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ
หายใจเข้า วันเวลาเดินทางมาพร้อมลมหายใจ กาลเวลามาสู่เราเป็นธรรมดา ลมหายใจมาสู่เราเป็นความจริงของชีวิต สิ่งต่างๆเข้ามาผูกพันใจเป็นความจริงธรรมดา เรามิอาจหนีลมหายใจ การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีชีวิต หายใจออก เรามิอาจเลี่ยงหายใจออก ลมหายใจกลับคืนสู่บ้านตามธรรมดา การพลัดพรากเป็นความจริงของชีวิต เว้นพื้นที่ให้วันเวลาใหม่เติมเต็ม เรามิอาจยื้อลมหายใจออก การหนีลมหายใจเท่ากับการหนีที่จะมีชีวิต เราอาจรู้สึกว่าสิ่งใดยิ่งพยายามหลบเลี่ยงหรือหลีกหนีก็ยิ่งเจอะเจอ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หายใจเข้า ลองหนีลมหายใจออก ไม่หายใจออก อัดอั้นไว้สักครู่ เราจะยิ่งรู้สึกจะต้องหายใจออก ยิ่งหายใจออกชัดเจน อาจหอบโล่งออก อาจยิ่งหายใจถี่กว่าเดิมหากกลั้นไว้นาน หายใจออก เรายิ่งหนีการหายใจ เรายิ่งเจอะเจอการหายใจ เพราะร่างกายมิอาจขาดลมหายใจ เพราะการหายใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะการที่ชีวิตต้องหล่อเลี้ยงด้วยลมหายใจเป็นความจริงที่เรามิอาจปฏิเสธ บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เราหนีบางสิ่งมาโดยตลอดยิ่งดั่งมีแรงดึงดูดจากตัวเรา ดึงให้สิ่งเหล่านั้นที่เราไม่อยากพบเข้าใกล้ เราอาจพลอยตำหนิว่า เป็นเพราะตัวเราไม่ดี สิ่งต่างๆเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น หรือเราอาจพลอยคิดเชื่อว่า ชีวิตเราเป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งไม่ดีเหล่านั้นเสมอ เมื่อเรายิ่งพบเจอสิ่งเหล่านั้นที่มิต้องการเจอะเจอ เราก็ยิ่งทุกข์ใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นดั่งลูกศรดอกแรกที่ทำให้เราทุกข์ แต่เราก็ทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำด้วยลูกศรดอกที่สองคือความคิดความเชื่อที่ตอกย้ำตัวเองในทางลบอย่างผิดๆ หายใจเข้า เราไม่ใช่คนผิดหากว่าการหายใจเข้า พาสิ่งสกปรกในอากาศ หรืออากาศอันเป็นมลภาวะเข้าสู่ร่างกาย แต่สิ่งไม่ดีเหล่านั้น มีอยู่แล้วในอากาศรอบตัวเรา บุคคลเหล่านั้นที่มีบางสิ่งรบกวนใจเรา เขาเป็นอยู่ และเป็นมาด้วยวิถีของเขาอยู่แล้ว เรามิใช่ต้นเหตุหรือเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเหล่านั้นเข้ามา พวกเขาเพียงมีอยู่บนโลก มีและเป็น ทั้งดีและเสีย… Continue reading ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ
“บทที่ขีดเขียน” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๗
“บทที่ขีดเขียน” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๗ โดย น้องเล็ก “Down an unknown road to embrace my fate Though that road may wonder,it will lead me to you And a thousand years would be worth the wait It may take a lifetime but somehow I’ll see it through.”* นิยามของคำว่ารักยังคง undefined ต่อไป แต่ฉันเชื่อว่าความรักที่แท้จริงทำให้เราอยากเป็นคนดี อยากพัฒนาตัวเองให้เหมาะสมกับเขา หรืออย่างน้อยทำให้เขาภาคภูมิใจและไว้วางใจเรา… Continue reading “บทที่ขีดเขียน” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๗
อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๖
“ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ” ……เรายิ่งกลัวเกรงที่จะยอมรับและเรียนรู้ความจริงข้อใด เรายิ่งต้องพบเหตุการณ์เพื่อพาเราเรียนรู้และยอมรับความจริงข้อนั้น ยิ่งเราหนีจากความจริงของชีวิต เราย่อมเสี่ยงที่จะไม่เข้าใจชีวิต… “บทที่ขีดเขียน” …… ฉันเชื่อว่าความรักที่แท้จริงทำให้เราอยากเป็นคนดี อยากพัฒนาตัวเองให้เหมาะสมกับเขา หรืออย่างน้อยทำให้เขาภาคภูมิใจและไว้วางใจเรา …. ~ ภาพปก จากปกหลังหนังสือ “เขียนดั่งเป็นกระจก” หนังสือใหม่ของสถาบัน อ่านฟรีได้ที่เว็บไซต์ ~ อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ๑๖ ณ ธันวาคม ๒๕๕๘ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด อ่านเพื่อประจักษ์ชีวิต ลิขิตเพื่อใคร่ครวญตน ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/12/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๑๖.pdf ความหลังครั้งยุวชนสยาม ตอนที่ ๓ สร้างนาม คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน ยิ่งหนียิ่งเจอะเจอ คอลัมน์… Continue reading อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๑๖