พามือเธอวางที่สายธาร

  หายใจเข้า  ณ ปลายจมูก เราสัมผัสกระแสแห่งชีวิต กลุ่มละอองลมหายใจ ไหลคล้อยเข้ามา ลึกยาวเพียงใด ให้กายใจสัมผัสรับรู้ หายใจออก  ร่างกายและลมหายใจ สัมผัสอ่อนโยนก่อนลับลาจากกัน หากลมหายใจเรายังคงมิอาจวางใจแข็งเกร็งเกินผ่อนคลาย หรือเร่งร้อนรน ลองสัมผัสด้วยการรับรู้ ให้เวลากับการพบและพรากจาก อ้อยอิ่งในปัจจุบัน สัมผัสลมหายใจเข้าออกอย่างทะนุถนอมด้วยรัก ชีวิตเราเหมือนสายธารอย่างไร หากเรามีสมุดบันทึกส่วนตัว หรือมีสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งตนได้จารึกการเดินทางของหัวใจและชีวิต ลองย้อนไล่เรียงอ่านทวน จากวันนี้สู่วันวาน จากช่วงนี้สู่อดีต จากเดือนก่อนสู่ปีก่อน ราวเดินย้อนสายน้ำหาจุดเริ่มต้น ชีวิตเราเหมือนสายธารอย่างไร หายใจเข้า ตรึกตรองไว้ในหัวใจเรา สำหรับนักเรียนการเขียนเยียวยาหรือผู้สนใจบันทึกดูแลตนเอง หยิบอุปกรณ์ขึ้นมา เขียนใคร่ครวญ ชีวิตเราเหมือนสายธาร การเดินทาง การเปลี่ยนแปลง และความลื่นไหล หายใจออก ลมหายใจเราเหมือนกระแสน้ำอย่างไร ใช้กายใช้ใจอ่านรับรู้ แล้วค่อยคล้อยหายใจเข้าอีกครา เขียนการทบทวนด้วยลมหายใจเข้า  สัมผัสกระแสธารที่ไหลรินสู่ร่างกาย ลึกลง ลึกลง ก่อนอีกกระแสธารหนึ่งวกย้อนเดินทางออกมา สู่อากาศภายนอกและท้องฟ้าจรดไกล สิ่งใดใดในจักรวาล เป็นอย่างน้อยสองลักษณะในตัวเอง อยู่ที่บริบทและการสังเกต หนึ่งเป็นก้อน หรือเราอาจเรียกเป็นอนุภาค สองเป็นกระแสธาร หรือเราอาจเรียกว่าเป็นคลื่น ลมหายใจเรานี้ก็เป็นละอองธุลีในอากาศ ล่องลอยอยู่ในห้อง… Continue reading พามือเธอวางที่สายธาร

การเขียนบำบัดร่วมกับกระบวนการจิตปัญญาศึกษา เพื่อส่งเสริมสุขภาวะผู้ต้องขังที่ติดเชื้อเอชไอวี

การเขียนบำบัดร่วมกับกระบวนการจิตปัญญาศึกษา เพื่อส่งเสริมสุขภาวะผู้ต้องขังที่ติดเชื้อเอชไอวี สถาบันธรรมวรรณศิลป์ ร่วมกับ กลุ่มเพื่อนรัก โรงพยาบาลบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ได้ศึกษาและรายงานผลการศึกษา การเขียนบำบัดร่วมกับกระบวนการจิตปัญญาศึกษา เพื่อส่งเสริมสุขภาวะผู้ต้องขังที่ติดเชื้อเอชไอวี ใน โครงการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (Routine to Research) จังหวัดสมุทรปราการ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ณ อิมพีเรียล สำโรง จังหวัดสมุทรปราการ เอกสารรายงานโครงการ *ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่เว้นได้รับอนุญาตจากผู้เกี่ยวข้อง ดาวโหลดเอกสาร โครงการพัฒนาสุขภาวะทางปัญญาผ่านการเขียนบำบัด กลุ่มผู้ต้องขังแดนหญิงในเรือนจำสมุทรปราการ เปิดหน้าเว็บไซต์ มองตนเองอย่างหม่นหมอง และ สภาพปัญหาที่พบ ผู้ติดเชื้อรู้สึกด้อยคุณค่า และ น่ารังเกียจ ผู้ติดเชื้อขาดแรงจูงใจรักษาตนเอง และไม่เรียนรู้พัฒนาตนเองจากปัญหา ผู้ติดเชื้อรู้สึกขาดความมั่นใจในการอยู่ร่วมกับสังคมและมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ ผู้ติดเชื้อขาดเจตจำนงเชิงบวกต่อการใช้ชีวิต ผู้ติดเชื้อไม่สามารถดูแลความรู้สึกเชิงลบในจิตใจ ผู้ติดเชื้อมีมุมมองเชิงลบต่อร่างกายตนเอง ผู้ติดเชื้อรู้สึกขาดอิสระ ขาดแรงบันดาลใจ และความฝัน กิจกรรมที่ดำเนินการ ระยะเวลา 6 เดือน มากราคม – มิถุนายน 2558   1. รับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ผู้ต้องขังหญิง (เรือนจำสมุทรปราการ… Continue reading การเขียนบำบัดร่วมกับกระบวนการจิตปัญญาศึกษา เพื่อส่งเสริมสุขภาวะผู้ต้องขังที่ติดเชื้อเอชไอวี

อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๗

  ก้าวแรกก่อให้เกิดก้าวล่วงมา จากหนึ่งปฐมเทศนา ส่งอิทัปปัจจยตาธรรมจักรเคลื่อนพุทธวจนะ จากแดนหนึ่งสู่อีกแดน จากหนึ่งสู่ไพศาล ขจรขจายพุทธธรรมหล่อเลี้ยง อาสาฬหบูชา ยังเตือนเราถึงการเริ่มต้น มาจนถึงครานี้   อนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับที่ ๗ ณ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ (อาสาฬหบูชา) อนุสารรายครึ่งเดือน คืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนมืด ดาวโหลดอนุสารได้ที่ อนุสารธรรมวรรณศิลป์๐๗ https://www.dhammaliterary.org/wp-content/uploads/2015/07/อนุสารธรรมวรรณศิลป์๐๗.pdf   ลำดับบทความในอนุสารธรรมวรรณศิลป์ ฉบับ ๐๗ ๑. งานเขียนรางวัลธรรมวรรณศิลป์ เรื่อง บันทึกอออิน ๒. คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา ตอน ใจแรกจับปากกา ๓. คอลัมน์ ธรรมกวี  

ใจแรกจับปากกา

  หายใจเข้า  เราเริ่มหายใจอีกคราครั้ง แม้เราหายใจมาหลายเวลา ก่อนหน้านี้ เรากำลังเริ่มหายใจใหม่ นี่คือลมหายใจแรกและลมหายใจสำคัญห หายใจออก  แม้เราพบเจออักษรนับหมื่นนับแสนหน เรากำลังเริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น การเริ่มต้นทำสิ่งใดเป็นครั้งแรก มักประทับไว้ในหัวใจเรานานนับนาน ประหนึ่งความรู้สึกแรกพบเป็นรากให้ต่อยอดความรู้สึกรู้สาในเวลาต่อมา เรากำลังสดใหม่ การรับรู้ทุกประสาทตื่นตัว หัวใจสนใจ มิมีร่องรอยความคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ก่อนหน้า ทุกอย่างจึงเป็นไปได้ ระลึกในใจระหว่างอ่านอักษรต่อไปนี้ เรากำลังพบสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรก สิ่งหนึ่งที่ว่านี้คือสิ่งที่เราชอบหรือมีคุณค่าต่อหัวใจ นึกถึงช่วงเวลาแรกพบกับสิ่งนั้น ชีวิตเราอยู่ในช่วงวัยใด พบกับสิ่งนี้อย่างไร ยามแรกพบพาใจรู้สึกอย่างไรบ้าง ตระหนักถึงความคิดและพลังที่เรามีในยามนั้น หายใจเข้า  ระลึกในใจระหว่างอ่านอักษรดังนี้ เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิตตอนนี้ ที่เรารู้สึกเบื่อ จำเจ หรือหมดพลังจะทำสิ่งนี้ต่อไป ตระหนักว่าเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ตอนนี้แล้วรู้สึกอย่างไร หายใจออก พาเราโบยบินย้อนวันเวลา ช่วงเวลาหนึ่งในอดีต ยามแรกพบระหว่างเรากับสิ่งนี้ เราพบเจออย่างไร ลองมองหรือคิดถึง ด้วยดวงตาใจแรกพบเจอ หัวใจรู้สึกอย่างไร เห็นอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ การทำสิ่งใดซ้ำๆ ย่อมทำให้คุ้นเคย และเชี่ยวชาญได้ ทำให้สิ่งที่ยากง่ายลง ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายเหมือนแต่ก่อน การหัดเล่นเปียโนครั้งแรก นิ้วมือเราย่อมแข็งเกร็ง กว่าจะกดดนตรีเล่นนิ้วพลิ้วราวละลอกน้ำ ย่อมต้องผ่านความอดทนและบังคับนิ้วเนิ่นนาน แรกการเขียนก็เช่นเดียวกัน มือเราอาจยังเขินอายต่อหน้ากระดาษ มิรู้จะทักทายและจารึกถ้อยคำใด ความกลัวนานาปรากฏในหัวใจเรา… Continue reading ใจแรกจับปากกา

บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๗

“มีกล่องแต่ละด้านมีความแตกต่างกัน -ด้านแรกที่ทุกคนเห็นคือสีเหลือง รูปยิ้มแทนมุมทั่วไปที่ทุกคนเห็น -ด้านบนสีเขียวต้นไม้ แทนเรื่องความเป็นตัวเอง นิสัย -ด้านสีเทาดำ แทนปัญหาและข้อเสียของตัวหนู -ส่วนด้านที่ไม่เห็นแทนด้านที่คนสนิทที่เข้าใกล้ถึงจะเห็นไม่ใช่มองมุมเดียว คนทั่วไปก็เห็นสามด้านปกติ ที่เลือกภาพนี้แทนตัวเองเพราะจากการเรียนทำให้ได้รู้ว่าจริงๆ คนเรามีหลายมุมถึงแม้บางคนเรามองภายนอกเป็นแบบนี้แต่จริงๆตัวตนอาจเป็นคนละแบบกับสิ่งที่แสดงออกมา หลังจากที่เรียนและได้วิเคราะห์แล้วก็รู้ตัวเองมากขึ้นว่าเราเป็นคนยังไง และมีข้อเสียที่ต้องแก้ตรงไหน ที่รู้สึกว่าตรงมากคือเรื่องหมีที่แทนความเป็นเรา และก็รู้ข้อเสียอีกอย่างที่ไม่เคยมองเห็นตัวเองคือรอบครอบจนบางครั้งเป็นการลังเลไม่แน่นอน ตัดสินใจช้าจนพลาด บางทีก็ตีกรอบให้ตัวเองมากเกินไป ไม่ชอบให้ใครมาล้ำเส้น ยึดมั่นความคิดตนเองวิชานี้ช่วยให้รู้จุดบกพร่องตัวเองเพื่อจะนำมาแก้ไขและแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้คนอื่นเห็นมากขึ้นในด้านดีและวิชานี้ก็ยังเป็นวิชาที่ผ่อนคลาย แต่ได้ประโยชน์”     / น.ส.สุทธิดา ประกอบธรรม ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา     “ความจริงแล้ว คนเรามีทั้งส่วนดีและไม่ดีในตัวเอง แต่เพราะเราแบกความคาดหวังมากเกินไป ทำให้เราเครียดพอทำผิดไม่กล้ายอมรับเพราะกลัวสิ่งดีภายนอกจะหายไป และเป็นเพราะเราเองด้วยที่กดดันตัวเอง ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง คิดว่าตัวเองต้องดี มันก็เลยสวนกับความต้องการ ลึกๆในใจ หลังจากที่ได้ระลึกถึงเหตุการณ์แล้ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองใหม่ คือในเรื่องของการลงลึกถึงความรู้สึกภายใน และสัมผัสได้ถึงบุคลิกภายนอก ตัวเองอาจดูไม่มีอะไร แต่ไม่มีใครรู้ว่ายังโหยหาความรักความสบาย การมองเห็นหัวใจของตัวเอง ที่ทำให้เข้าใจตัวเองมากกว่าเดิม อยากบอกกับตัวเองว่าควรลด เลิก ละ ความอยากและความต้องการลงบ้าง เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่มีความสุขโดยไม่ต้องมีใคร นอกจากตัวเราเอง ในช่วงที่เริ่มบันทึกและเรียนรู้ แทบจะไม่รู้จักตัวเอง… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๗

บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๖

“สำหรับดิฉันคิดว่าตัวดิฉันเป็นคนที่อารมณ์ร้อนง่าย ขี้โมโหง่าย ขี้น้อยใจง่ายแต่ในบางมุมก็มีที่อ่อนไหวอยู่ ซึ่งคิดว่ามีคนที่จะเข้าใจยากในตัวดิฉัน บางครั้งก็คิดว่าเราเป็นคนที่เข้ากับผู้อื่นยากเพราะเป็นคนไม่ค่อยพูดหรือจะพูดกับคนที่สนิทเท่านั้น ทำให้เป็นคนที่มีเพื่อนน้อย อาจมีบางครั้งที่จะต้องไปไหนมาไหนคนเดียวก็มีเหงาบ้าง แต่ก็ยอมรับได้เพราะคิดว่ายังไงชีวิตนี้ก็ต้องมีบางมุมที่ทุกคนต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จะพึ่งพาคนอื่นตลอดไปก็ไม่ใช่เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ในของตัวเอง และดิฉันคิดว่าทุกคนบนโลกล้วนเห็นแก่ตัวอยู่ที่มากหรือน้อยรวมถึงตัวดิฉันเองด้วย มีการแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้อยู่ได้ในสังคมซึ่งต่างจากสังคมเมื่อสมัยยังเด็กเป็นสังคมที่บริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย เพราะทุกคนมีความจริงใจต่อกัน ยิ่งโตขึ้นดิฉันขึ้นเข้าใจในชีวิตมากยิ่งขึ้นอาจมีบางครั้งที่ชีวิตเราอยู่ในจุดสูงสุดวันนี้เรามีความสุขมากแต่พรุ่งนี้เราก็อาจจะทุกข์มากได้เช่นกันทุกคนล้วนต้องเจอ แต่ถ้ามองชีวิตเรากับบุคคลอื่นที่ไม่มีโอกาสเหมือนเรา ทำให้ดิฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้เกิดมาในชีวิตแบบนี้แม้อาจจะไม่สมบูรณ์ทุกอย่างแต่ก็ไม่ลำบาก…   “ดิฉันคิดว่าชีวิตเปรียบเสมือนนิยามเล่มนึง แม้จุดเริ่มต้นของนิยายไม่สามารถกำหนดเองได้ ให้สมบูรณ์แบบ อาจไม่ได้เกิดมามีพร้อม ทั้งชาติกระกูล ฐานะ หรือมีแบบใครเขาทุกอย่างเราไม่สามารถกำหนดเรื่องราวลงไปได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาและวาสนา หน้าปกนิยายเป็นสิ่งชักชวนให้หลงใหลชวนให้คนอ่าน แต่ภายในเนื้อหาชวนให้คนติดตามเรื่องราวเนื้อเรื่องภายในเล่มเปรียบเสมือนชีวิตเราสามารถกำหนดเองได้ให้มันดีหรือร้ายอยู่ที่เราเลือกกระทำ…ในนิยายนั้นมีหลายบทแต่ละบทก็อาจแตกต่างกันออกไปเป็นประสบการณ์ชีวิต บางครั้งอาจถูกกฎระเบียบอยู่ในกรอบไปซะทุกอย่างและในบางครั้งชีวิตก็อาจมีนอกกรอบบ้าง ผิดพลาดไปบ้างแต่ดิฉันเชื่อว่าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ในบทถัดไปและทิ้งบทก่อนหน้าที่ไม่ดีไว้เป็นเพียงความทรงจำ เป็นเพียงบทเรียนให้เราได้เรียนรู้และแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด ดิฉันเชื่อว่าทุกคนเกิดมานั้นไม่เคยไม่มีใครทำผิด แต่อยู่ที่ทำผิดแล้วจะปรับปรุงแก้ไขไหมจะปล่อยให้นิยายดำเนินเรื่องต่อไปแบบผิดๆไหม และในบางครั้งโอกาสก็ไม่ได้มีเสมอไปสำหรับความผิดพลาด ดังนั้นก่อนที่จะเขียนนิยายลงไปนั้นควรคิดให้ดีซะก่อน ดีกว่าต้องใช้ลิควิดลบน้ำหมึก เพราะมันทำให้กระดาษเปื้อนไม่สวยงาม หรือถึงขั้นต้องฉีดกระดาดออก และในชีวิตจริงคงไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่ช่วยลบความผิดพลาดได้อย่างง่ายดายเหมือนในนิยาย ดังนั้นก่อนที่จะทำอะไรควรไตร่ตรองและคิดให้ดีก่อน ไม่ใช่ว่าชีวิตนั้นผิดพลาดไม่ได้เลย ผิดพลาดได้แต่คิดว่าไม่ควรบ่อยจนเกินไป ควรนำความผิดพลาดในครั้งก่อนมาเป็นบทเรียนให้เขียนนิยายต่อไปได้อย่างสวยงามจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลบบ่อยๆ…”   / นางสาวลลิตา จุลนพ มหาวิทยาลัยบูรพา ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา   “อีกมุมหนึ่งของชีวิตจริงข้าพเจ้า คือ ตอนที่อาจารย์วิทยากรให้แก้ปมโดยให้กลับมาเป็นวงกลมแบบเดิมนั้น ข้าพเจ้าได้ค้นพบตัวเองว่า เมื่ออยู่กับคนหมู่มาก และเมื่อมีคนเสนอ หรือมีผู้นำ ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะรับฟังและทำตาม… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๖

บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๕

“เมื่อผมได้มาลองมองย้อนกลับไปจากจุดนี้ตอนนี้ ก็ทำให้เห็นตัวเองทั้งหมด ว่าจริงๆตัวผม รู้สึกไม่เต็มที่กับกิจกรรมไม่ใช่จากอาจารย์ทั้งสองท่านหรือจากเพื่อนในห้อง แต่เป็นตัวผมเองที่ไม่พร้อมจะเต็มร้อยกับทุกเรื่องในตอนนี้ เพราะผมเพิ่งเลิกกับแฟนไป ทำให้ผมจิตใจไม่สงบ ตั้งใจกับอะไรซักอย่างไม่ได้ รู้สึกเคว้ง การกระทำของผมที่ทำเป็นปกติในห้องนั้น ผมมองย้อนว่ามันคือการพยายามที่จะปกปิดตัวเอง แกล้งทำเป็นว่าปกติแล้วโอเค ในการทำกิจกรรมผมก็เผลอ ปล่อยอารมณ์โกรธที่อึดอัดออกมาใส่เพื่อน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย ผมคิดว่าในบางครั้งผมก็คงจะเป็นผู้นำแบบกระทิง ที่ขี้โมโหง่าย หงุดหงิดง่ายตอนที่ผมกระทำมันควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อทำไปแล้ว มามองย้อนดูทีหลังแล้วผมคิดว่าไม่โอเค มันไม่ดีเลย ทำให้ผมรู้ตัวว่าตอนนี้ควรจะควบคุมและอารมณ์บางอย่างก็ไม่ควรเก็บไว้จนทำให้ ข้างในมันรู้สึกอึดอัด อะไรที่ปล่อยได้ก็ควรจะปล่อย อะไรที่เก็บได้ก็ควรจะเก็บ คือตัวของผมต้องรู้ตัว รู้สติ ที่จะควบคุมตัวเอง โดยไม่บังคับตัวเองเกินไปและไม่ปล่อยตัวเองจนเกินไป”   / นายอิสระ สมทรง มหาวิทยาลัยบูรพา   “จากที่ดิฉันได้เข้าร่วมในกระบวนการเรียนการสอนในรายวิชาหลักและทฤษฎีการสื่อความหมายด้วยภาพ ได้มองเห็นตัวเองหลายด้าน ทั้งด้านที่ดิฉันรู้คนอื่นก็รู้คือดิฉันเป็นที่สดใส ร่าเริง มีความสุขอยู่เสมอ ด้านที่ดิฉันรู้แต่คนอื่นไม่เคยรู้คือฉันเป็นคนที่คิดมาก คิดทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในรอบตัวดิฉันไม่ว่าเป็นเรื่องของฉันหรือเรื่องของคนอื่นดิฉันจะเก็บมาคิดแล้ววางแผนแก้ไขสิ่งนั้นแสมอ โดยที่คนอื่นไม่ค่อยรับรู้ว่าดิฉันคิดหรือเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะดิฉันจะมีพฤติกรรมที่ปกติอยู่เสมอ ด้านที่ดิฉันไม่รู้แต่คนอื่นรู้คือดิฉันจะมีอาการมือสั่นโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอโดยดิฉันไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับร่างกายของฉัน คนอื่นมักจะบอกว่าดิฉันตื่นเต้น หรือกลัวอะไรบ้างอย่างอยู่หรือป่าว แต่สำหรับดิฉันแล้วดิฉันว่าฉันไม่ได้ตื่นเต้นหรือหลัวอะไร แต่ไม่รู้ทำไมดิฉันมีอาการมือสั่นฉันยังตอบตัวเองไม่ได้สักทีกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น ด้านดิฉันไม่รู้และคนอื่นไม่รู้ คือพฤติกรรมการทำตัวเฉยๆเมื่อมีเหตุการณ์ที่น่ารังเกียจเกิดขึ้น ดิฉันว่าเป็นพฤติกรรมที่จะบอกว่าฉันไม่ต้องการที่จะรับรู้สิ่งนั้น และดิฉันได้รู้จักตนเองหลายมุมรวมถึงในบ้างมุมที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ใช่ดิฉันหรือป่าว ดิฉันเป็นแบบนี้จริงเหรอ… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๕

บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๔

“จากการทบทวนตัวเอง คิดว่าตัวผมเองไม่มีความกล้า ความคิด ความเป็นตัวของตัวเองมากพอเนื่องจากการติดเพื่อน ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบทำอะไร อยากเป็นอะไร ได้แต่ทำตามคนโน้นที คนนี้ทีตามเพื่อนไป ไม่กล้าที่จะลอง กลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น และการที่ของขวัญคือแม่กับน้อง ยิ่งทำให้รู้ชัดเจนขึ้นว่า ไม่กล้าพอที่จะอยู่คนเดียว กลัวการต้องเผชิญสิ่งต่างๆคนเดียว ในหลายๆครั้งที่ไปเรียนงานที่อาจารย์สั่งให้ทำมันเกี่ยวกับตัวเราเอง ผมกลับไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร เพราะว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบรึอยากทำอะไรจริงๆจังๆ ได้แต่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมาตลอด ทั้งที่ก็คิดได้ว่าตัวเองขาดสิ่งนี้ อยากจะรู้ว่าตัวเองชอบ มีความสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่มันก็ติดตรงที่ไม่กล้า ไม่ชอบทำอะไรคนเดียวเลยไม่ได้เริ่มทำแล้วก็กลับมาวนอยู่ที่เดิม ปัญหานี้แม่ผมก็ทราบจึงได้คอยช่วยหางานต่าง ๆให้ทำ ซึ่งมันสามารถช่วยได้บ้าง ถึงแม้มันจะยังไม่ค้นพบว่าชอบอะไร อยากทำอะไร แต่มันก็ยังดีที่ได้ทำสิ่งอื่นนอกจากนั่งเล่นเกมส์ ปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆอย่างไร้ประโยชน์ ผลลพลอยได้อีกอย่างคือทำให้แม่สบายใจมากขึ้น ไม่กังวลแบบเมื่อก่อนว่าโตขึ้นลูกชายจะอยู่ยังไง ใช้ชีวิตยังไงเพราะว่าวันๆหนึ่งไม่ทำอะไรนอกจากเล่นเกมส์กับเที่ยวเล่น ในการทำงานที่แม่หามาให้ทำมันช่วยให้การความคิดโตเป็นผุ้ใหญ่มากขึ้น ปัญหาเดิมความกลัวโน่น กลัวนี่เวลาจะเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ น้อยลง กล้าคิด กล้าตัดสินใจมากขึ้น จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรืออยากทำอะไร แต่ผมมั่นใจว่าสามารถทำสิ่งต่าง ๆได้มากกว่าเดิมเนื่องจากได้ทำงานหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ลองทำสิ่งต่าง ๆ ถึงแม้จะไม่นานแต่มันก็ยังจำได้อยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานมันทำให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เปรียบตัวเองเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถนัดรับคำสั่งมาทำมากกว่าการที่จะคิดและลงมือทำเอง หรือทำตามบุคคลรอบข้าง ตั้งแต่เด็กไดแต่ลองทำตามพี่ ๆ เพื่อน ๆเห็นเค้าทำกันเราก็ลองทำตาม… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๔

บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๓

“ผมได้มองเห็นหลายๆมุมในตัวเองไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง ผมเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่ผมก็ได้เห็นอีกมุมหนึ่ง ในด้านที่ผมใจร้อนนี้ทำให้ผมเป็นคนจริงใจมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คิดอะไรก็สามารถลงมือทำได้โดยเร็ว ไม่ต้องรอเวลา ผมแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่แข็งกร้าวลดลงก็จะสามารถทำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้นโดยเป็นสิ่งที่ดีที่อยู่ในพื้นฐานของคำว่า “อารมณ์ร้อน” ปกติผมคิดว่าผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงเลยคิดว่าสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ข้างในถ้าเราจะสื่อสารออกมาให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้นั้นเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นจุดอ่อน แต่มันกลับทำให้ผมรู้จักคิดสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตแม้ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดแค่เราถ่ายทอดมันออกไปจากความรู้สึก ผมได้มองเห็นศักยภาพในตัวเองในด้านต่างๆเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องค้นหาแค่ดึงสิ่งที่เป็นอยู่ออกมาให้ได้ การมีสติรอบๆตัว การสังเกตุคนรอบข้าง เมื่อก่อนผมไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ เพราะความกลัว เกิดจากการที่ผมไม่รู้จักตัวเองว่าศักยภาพเรามีเท่าไหร่ ด้านไหนที่เราสามารถนำมาใช้งานได้ ด้านไหนไม่ใช่ของเรา ผมคิดว่าถ้าต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกในตอนนี้ผมคิดว่าผมพร้อมแล้วกับสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ได้พูดว่าความกลัวผมจะลดลง แต่ผมสามารถนำศักยภาพที่ผมมีอยู่ ในการรับมือกับสิ่งเหล่านั้น” / นายกิตติธัช มิตรดี มหาวิทยาลัยบูรพา “จากการบันทึกทำให้รู้ว่าตัวเอง มีข้อผิดพลาดตรงที่ไม่ยอมฟังความคิดเห็น ความรู้สึกของคนอื่นๆ คิดถึงแต่ความรู้สึกตนเอง พอมีปัญหาถึงค่อยกลับมาคิดว่าทบทวน บางเหตุการณ์ยังดีที่มีเวลากลับไปแก้ไข แต่บางเหตุการณ์อาจไม่มีโอกาสเลยก็ได้ และหลังจากที่ได้เรียนวิชานี้ทำให้ ได้สงบ ได้เปิดใจ ได้ฟัง ได้พูด เหมือนเดินออกมาจากโลกของตัวเอง ได้ทิ้งความรู้สึกของตัวเองออกไปเดินออกมาฟังความคิด ความรู้สึกต่างๆ มีเวลาทบทวนตัวเองมากขึ้นว่าเรา ทำอะไร รู้สึกอะไร อะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคในการทำสิ่งนั้นๆให้สำเร็จ รวมถึงเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการมองคน ว่าควรเปิดใจทำความรู้จักเค้าให้ดีก่อน ถึงค่อยตัดสินว่าเค้าเป็นคนดีหรือไม่ ได้รู้ว่าในข้อดีก็ล้วนมีข้อเสีย ในข้อเสียก็ยังมีสิ่งดีๆ รู้จักการคิดในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้นได้ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่วัยเด็กจนปัจจุบัน นึกถึงเรื่องราวดีๆ นึกถึงคนที่ตอนนี้เราอาจจะลืมเค้าไปแล้วทั้งๆที่แต่ก่อนสนิทกันมาก ได้ทำให้เค้าใจตนเองมากขึ้น ผ่านการคิดและวิเคราะห์ คนที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำอะไรดีๆก็คือ… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๓

บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๒

“ทั้งหมดนั้นเปรียบเหมือนคนวัยชราที่เวลาเราคุยกับเขา เขาก็จะเล่าความหลังให้เราฟัง ถือว่าเป็นความสุขจากประสบการณ์เราจริง ที่ทำให้เราจดจำหลายสิ่งหลายอย่าง ผมชอบมากเลยเวลาคุยกับปู่ของผมถึงอาจจะเล่าเรื่องเดิมๆแต่มันคือความประทับใจในอดีต แต่ประโยชน์ของการทบทวนก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ ยิ่งทบทวนมากเราก็ยิ่งจดจำ มีประสบการณ์และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างมีสติ รู้จักตัวตนของตนเอง รู้ข้อดี ข้อเสีย ข้อผิดพลาดต่างๆ ดังเช่นสุภาษิตที่ว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” ดังนั้นเราควรทบทวนชีวิตตัวเอง เพียงแค่เสียสละเวลาเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีต่อจากนี้ไปผมหวังว่าคงนำสิ่งที่ได้ทบทวนเรื่องดังกล่าวที่ผ่านมานั้นมาปรับปรุง แก้ไขให้ดีกว่าแต่ก่อนถึงจะได้ไม่มากก็ตาม แต่พยายามทำให้มันดี เพื่อวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป กับการใช้ชีวิตที่ดีที่มีอยู่ ให้รู้คุณค่าของการทบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกอย่างคงฝังใจไปอีกนานกับเรื่องราวที่น่าวุ่นวายหรือที่เรียกว่า “วีรกรรม” ที่ทำไปในแต่ละสถานการณ์ที่ทำให้คนเขาจดจำเราได้ดี สิ่งนี้ผมคงตั้งชื่อให้ว่า.. ประสบการณ์เดิม ที่เพิ่มเติมประสบการณ์ใหม่ ให้ตัวเองเรียนรู้ได้มากขึ้น จากสิ่งเดิมๆคงไม่มีอะไรมากเกี่ยวกับสิ่งๆหนึ่งที่ คิดถึงและจดจำมันตลอดไป ( ประสบการณ์ที่เรียกว่า “เพื่อน”) ขอบคุณอาจารย์และวิทยากรที่ทำให้ผมได้ประสบการณ์ใหม่ๆเพิ่มจากประสบการณ์เดิมที่มีอยู่แล้วและทำให้ผมได้ใช้เวลาว่างอยู่กับตัวเองในการทบทวนตัวเองอย่างลึกซึ้งและมีเหตุผล” _นายพงศกร ศุภกิจจานุสรณ์ สาขาเทคโนโลยีการศึกษา “จากการบันทึกแล้วก็การทำกิจกรรมร่วมกันในห้อง หนูยังคิดว่าความคิดของหนูเหมือนคนยังไม่โต ยังมีการกระทำ ความคิดที่เป็นเด็ก ยังคิดมาก คิดอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่เสมอ แต่มันก็ทำให้หนูได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าตัวเองเป็นคนยังไง พอได้คิดทบทวนเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา มีหลายเรื่องราวที่เราสามารถผ่านมันมาได้ ทั้งเรื่องที่เป็นทุกข์ เรื่องที่มีความสุข เรื่องตลกขบขัน เราก็ผ่านมันมาได้ อย่างวันนี้พอหมดคืนนี้ไป วันนี้ก็กลายเป็นแค่อดีตของเรา ในทุกวันเราควรหาอะไรทำ… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๒