1 จิตที่โง่ เอาอัตตาไปรับคำวิจารณ์ จิตที่ฉลาด เฝ้าดูคำวิจารณ์แล้วรับประโยชน์ . คำพูดหมิ่น คำด่าว่า คำวิจารณ์ อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า วาจา โดยธรรมชาติของมันแล้วเป็นเพียงลมลอยออกมาจากปากพร้อมกับคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือน หรืออาจเป็นเพียงอักษรที่ก่อร่างขึ้นด้วยหมึกและจอภาพ เหล่านี้คือธรรมชาติของวาจา เป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามปัจจัย . การคิดเอาว่านั่นเป็นวาจาที่ไม่ดี เป็นคำดูหมิ่น เป็นคำวิจารณ์ หรือเป็นคำตัดสิน เป็นธรรมชาติของจิตที่ตีความ ซึ่งสมมติให้สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน มีตัวตนขึ้นมา ตามสัญญาคือความจำได้หมายรู้แยกแยะเอาว่า คำแบบใดเป็นลักษณะที่น่าพึงใจไม่น่าพึงใจ . จิตที่โง่ นอกจากการจะตีความต่างๆ นานาจากลมที่พัดพาจากปากผู้อื่นหรืออักษรที่ปรากฏบนหน้ากระดาษและหน้าจอ เกิดเป็นความหมายที่ก่อความรู้สึกแก่ใจแล้ว ยังเอาอัตตาตัวเองไปรับให้เป็นทุกข์ . ธรรมชาติของลม เมื่อพัดพาไปไม่เจอสิ่งที่ต้องกระทบมันก็จะเป็นเพียงอากาศเคลื่อนไหวซึ่งจะเบาลงไปตามกาล ธรรมชาติของวาจาก็เช่นกัน หากไม่มีสิ่งที่ต้องกระทบแล้วมันจะเลือนลางจางไปเอง . เพราะมีอัตตาเป็นตัวรับ วาจาจึงมีสิ่งให้ต้องกระทบ เกิดเป็นอารมณ์ความพึงใจ ไม่พึงใจ เกิดเป็นการตีความตามแต่ใจตัวเองไปต่างๆ นานา ทำให้วาจาที่เป็นแค่สิ่งไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงลมหรืออักษรกลายเป็นดาบที่ทิ่มแทงใจ . จิตโง่ก็จะโทษคนอื่น โทษสิ่งภายนอก คำพูดเธอทำให้ฉันทุกข์ใจ , เธอตัดสินฉัน ,… Continue reading จิตโง่ Vs จิตฉลาด (ตอนแรก)
Category: ไกด์โลกจิต
ธรรมะ กับ เรื่องวัว สำหรับปีวัวและปีไม่วัว
บทความ ไกด์โลกจิต ตอนนี้ได้ขอน้อมนำข้อคิดจากพระไตรปิฎกสามข้อใหญ่ และภาพปริศนาธรรมคนจับวัว ซึ่งเชื่อมั่นว่าสามารถช่วยให้เรารอดปีวัวและปีใดๆ หลังจากนี้ รวมทั้งการเป็นนายเหนือวัวภายในตัวตนของตัวเอง ขอให้ดูรอยเท้าที่ย่ำบนพื้นแล้วเดินตามไป . . 1 อยู่อย่างโคประเภทใด ให้เลือกเอง : พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า วัวตัวผู้ มีอยู่สี่แบบด้วยกัน แบบหนึ่ง ระรานพวกพ้องของตัวเอง ไม่ระรานพวกคนอื่น แบบหนึ่ง ระรานพวกคนอื่น ไม่ระรานพวกพ้องตนเอง แบบหนึ่งก็ระรานสร้างความเสื่อมเสียไปทั่ว แบบหนึ่งก็ไม่ระรานและไม่สร้างความเสื่อมเสียให้พวกใด *(1) วัวที่ว่านั้นก็เปรียบเหมือนคนสี่จำพวก ท่านมิได้ทรงตรัสโดยตรงว่าแบบใดดีที่สุด แต่ให้เราตัดสินใจด้วยตนเองว่า จะประพฤติแบบใด และรับผลที่เป็นเช่นนั้นด้วยตนเอง โคยังมีหลายฝูง คนก็มีหลายพวกพ้อง มีความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นฝ่ายๆ มีนิสัยจำเพาะผิดแผกกัน เราจะเป็นวัวที่ยอมรับความต่าง หรือเป็นสัตว์มีเขาที่อยากเอาชนะอย่างเดียว เราจะทำให้ปีวัวปีนี้และปีใดๆ เป็นชีวิตที่ดี ก็อยู่ที่การการวางตัวและความเป็นมิตรของตนเอง จะอยู่อย่างสร้างมิตร จะอยู่อย่างสร้างศัตรู จะเลือกทำทั้งสองอย่างกับบุคคลที่เราคิดว่าสมควรได้รับ หรือจะไม่ขัดแย้งหรือแข่งดีกับใคร เราเลือกเอง ท้ายที่สุดแล้วกรรมที่วัวหรือตัวเราเองสร้างไว้ก็จะย้อนคืนกลับมาที่ตน เพราะชีวิตเราคือผู้เลือกที่สำคัญ ปีใดจะเป็นปีที่ดีหรือปีชง เราเป็นผู้ตัดสินใจ จะเป็นปีแห่งสงคราม หรือปีแห่งสันติภาพ ล้วนขึ้นอยู่กับเราเลือกเป็นวัวแบบใด… Continue reading ธรรมะ กับ เรื่องวัว สำหรับปีวัวและปีไม่วัว
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากปฏิทิน
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครูแก่หัวใจที่พร้อมจะเรียนรู้ ปฏิทินที่อยู่กับมนุษย์มาปีแล้วปีเล่าก็เช่นกัน ลองมองเขาอย่างพินิจใส่ใจ นอกจากวันเดือนปี วาระสำคัญ หรือนัดหมายที่เขาบอกกับเราแล้ว สิ่งใดที่เราอาจเรียนรู้ได้จากปฏิทิน 1 ความสัมพันธ์ที่ดีไม่จำเป็นต้องมีตลอดไป ทุกอย่างมีวาระของตนเอง สิ่งดีๆ ล้ำค่า ใครบางคน หรือบางสิ่งที่ดีต่อใจ แค่มาอยู่กับเราเพียงชั่วคราว คนที่ช่วยเหลือเรา รักกัน ส่งเสริมเกื้อกูลดูแล แต่งงาน หรือเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต พวกเขามีวาระของตนเองดั่งเช่นปฏิทิน อาจสั้นกว่าหนึ่งปี อาจยาวกว่าหนึ่งปี แต่เมื่อถึงเวลาแล้วก็หมดหน้าที่ของเขา เราอาจมิได้อาลัยอาวรณ์เมื่อต้องทิ้งปฏิทินปีเก่าไป เพราะเห็นว่าเป็นเพียงวัตถุสิ่งของ หาใหม่ได้ไม่ยาก เก็บไว้ก็ใช้งานมิได้แล้ว แต่เขาก็เป็นตัวแทนของทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เข้ามาหาเรา อยู่กับเรา ช่วยเหลือดูแล เคียงข้างกัน หรือทำหน้าที่ของตนเองที่มีต่อเรา ในวาระหนึ่งเท่านั้น เมื่อหมดวาระและหน้าที่ของกันแล้ว ความสัมพันธ์นั้นก็จะจบลงหรือจากกัน ทุกคนและทุกสิ่ง ต่างโคจรมาหาเราด้วยแรงดึงดูดของหน้าที่บางอย่าง ปฏิทินเองก็มาอยู่ด้วยกันกับเราเพราะหน้าที่ นอกจากบอกวันเดือนปีแล้ว อาจทำหน้าที่แทนสะพานหัวใจ แทนความห่วงใยจากใครบางคนที่มอบให้แก่เรา หรืออาจทำหน้าที่ส่งต่อข้อคิดกับภาพเตือนใจ ผ่านเนื้อหาที่สอดแทรกบนปฏิทินด้วยก็ได้ แม้แต่คนที่ไม่ชอบใจ สิ่งที่เลวร้าย ต่างก็โคจรมาหากายใจนี้เพื่อทำหน้าที่บางอย่างที่มีแก่กัน เพียงชั่วคราวเท่านั้น ก่อนจากลา เราไม่ได้ชี้วัดว่าปฏิทินที่มีค่าจะต้องอยู่กับเราตลอดไป ไม่ได้บอกว่าปฏิทินนี้แย่หรือไม่เพียงเพราะว่าอยู่ด้วยกันแค่หนึ่งปี ความสัมพันธ์ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน… Continue reading สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากปฏิทิน
8 ข้อคิด ไกด์โลกจิต ประจำปี 2563
รวมข้อความไขข้อคิดจากคอลัมน์ไกด์โลกจิต ประจำปีนี้ ทั้ง 8 ตอน ขอบคุณผู้ติดตาม ผู้อ่าน และศิษย์เก่าสถาบันธรรมวรรณศิลป์ที่ให้การติดตามมาตลอดทั้งปี และจากนี้ไป . 1 “ความกลัวนั้นเองทำให้ความตื่นตัวเป็นความ “ตื่นกลัว” ทำให้คิดมากหวาดระแวง วิตกกังวลไปต่างๆ จนเกินความเป็นจริง ความเครียดเกินครึ่งหนึ่งในชีวิตเกิดจากความคิดของเราเอง ความคิดที่ถูกผลักดันด้วยความกลัวอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้สิ่งที่เราเจอหรือระลึกถึง แลดูเลวร้ายไปกว่าความเป็นจริงเสมอ นอกจากการวิตกกังวล ความตื่นกลัวยังผลักดันให้เราพยายามมากเกินไปในเรื่องต่างๆ ทำให้เราแบกรับความคาดหวัง หมกมุ่นความดีพอหรือความสมบูรณ์แบบ กดดันตนเอง ไม่ยอมรับความจริง หักโหมจนโทรมทรุด ฯ หรือในทางกลับกันก็ทำให้เราไม่พยายามเลย เพราะกลัวที่จะผิดหวัง หรือกลัวที่จะต้องเสียใจ ทำให้ละเลยหรือปิดโอกาสตนเอง . “ความกลัวยังทำให้เรายึดติดกับบางสิ่งมากเกินไป การยึดติดนั้นเองที่ทำให้เกิดความตึงในการใช้ชีวิตที่เกินพอดี กลายเป็นความ “ตึงเครียด” หากเรามีความกลัวไม่ดีพออยู่ภายในระหว่างการทำงาน เราอาจยึดติดผลลัพธ์ของงานมากเกินไป จนนำมาสู่ความบาดหมางระหว่างเพื่อนร่วมงาน และตนอาจหักโหมบ้างานมากเกินไปจนกายใจเหนื่อยล้า ความยึดติดนั้นเองที่ก่อน้ำหนักให้เราแบกรับ กลายเป็นความเครียดสะสมในร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความสัมพันธ์อีกด้วย จนถึงวันที่เกินขีดจำกัดจะรับไหว . “คนแต่ละคนมีความต้านทานต่อความตึงเครียดไม่เท่ากัน บางคนทนทานรับได้ยาวนาน บางคนทนรับได้น้อย หากเรามิได้คอยดูแลหรือสังเกตกายจิตให้ดี กว่าจะรู้ตัวว่ามีความเครียดสะสมมากก็อาจถึงเกณฑ์ที่เราเริ่มทนไม่ไหวแล้วหรือเลยเกณฑ์นั้นไปแล้ว ซึ่งจะเป็นจุดที่อาการต่างๆ จะแสดงออกมาอย่างชัดเจน… Continue reading 8 ข้อคิด ไกด์โลกจิต ประจำปี 2563
ใครไม่รู้ก็โกรธ และเกลียดชังเพราะความเห็นต่างและความขัดใจ…
1 ดีของเรา ชั่วของเขา เป็นธรรมดา . เหตุผลอะไรที่ทำให้เรามักเชื่อว่าสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง จะต้องดีสำหรับคนอื่น แม้ลึกๆ ก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม . ใช้ความรู้ตามหลักพุทธศาสนาอธิบาย เหตุผลนั้นก็เพราะเรามี อคติ สองอย่างที่เรียกว่า ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะพึงพอใจ กับ โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะหลงและความไม่รู้ . พึงพอใจกับสิ่งใด เราก็คิดไปว่ามันจะต้องดี ดีสำหรับตนเองไม่พอ ต้องดีสำหรับคนอื่นด้วย . หลงกับความคิดความเชื่อใด เพราะใจยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงในกฏแห่งธรรมชาติ ย่อมด่วนตัดสินตีความว่ามันจะต้องเป็นแบบที่เราคิดสำหรับทุกคน . อคติเหล่านี้เกิดจาก สาม พ. คือ เพลิดเพลิน พอใจ และพะเน้าพะนอ . เพลิดเพลินในการรับรู้และการเสพความคิดนั้นๆ พอใจชอบใจกับสิ่งดังกล่าว และการคลุกคลีเอาใจไปเกลือกกลั้ว หรือเรียกว่า พะเน้าพะนออยู่กับมัน จนทำให้จิตปรุงแต่งไปเอง . เหตุผลทางจิตวิทยา คือความต้องการเป็นคนสำคัญ และอยากให้คนอื่นสนใจตนเอง . เกี่ยวข้องกันอย่างไร… เพราะสิ่งที่เชื่อว่าดี จิตมักนำมาเป็นตัวแทนของตัวตนและคุณค่าของตนเอง… Continue reading ใครไม่รู้ก็โกรธ และเกลียดชังเพราะความเห็นต่างและความขัดใจ…
อิสระแท้จริงที่ใกล้ตัว
หลายๆ ครั้งในชีวิตที่เราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัด อาจเจ็บไข้ได้ป่วยจนไม่อาจใช้ชีวิตตามปกติ ต้องเผชิญกับรถติดและชีวิตที่ไม่อาจไหลลื่นได้ตามที่ต้องการ ต้องอยู่ร่วมกับสถานการณ์หรือความเป็นไปอันมิได้ดั่งใจ อึดอัดขัดข้องกับเรื่องราวชีวิตที่ร้อยรัด ต้องเล่นไปตามกติกาและเงื่อนไขที่ไม่อาจกระดิกตัวอย่างง่ายดาย มันทำให้เราเป็นทุกข์เพราะริดรอนอิสรภาพอันมีค่าไป . มีความไม่แน่นอนในชีวิตมากมายที่ทำให้เราไม่อาจเป็นอิสระอย่างที่ใฝ่หวัง แล้วน้อยครั้งนักที่สิ่งนอกตัวเหล่านี้จะเป็นไปอย่างที่เราต้องการอย่างแท้จริง ทำอย่างไรเราจึงจะรู้สึกอิสระได้แม้ดำรงกับความไม่แน่นอนและข้อจำกัดของชีวิต ทางออกสำคัญทางหนึ่งคือการกลับมายังอิสระแท้จริงที่อยู่ใกล้ตัวเราเอง . . ๑ โซ่ตรวจและคุกภายใน . ในความเข้าใจของคนทั่วไป อิสระคือการสามารถทำอะไรๆ ได้ตามที่ต้องการ เป็นอิสระที่หลายคนมักพอใจและใฝ่หา แต่นั่นยังเป็นที่ภายนอก เป็นเสรีภาพในทางหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่ของแท้ที่ดีที่สุด เพราะท้ายที่สุดการมีเสรีภาพเหล่านั้นก็ยังไม่เป็นอิสระจากสองอย่าง คือความทุกข์ และ เหตุของความทุกข์ ซึ่งยังคงดำรงอยู่เรื่อยไปแล้วเวียนวนซ้ำซากไม่สิ้นสุด แม้จะได้มาในสิ่งที่อยากได้ก็ตาม . อิสระมีสองประการ ได้แก่ภายนอกกับภายใน อย่างแรกคือการสามารถทำอะไรได้ตามความพอใจ ไม่ถูกปิดกั้น ขัดขวาง หรือห้ามไว้ สามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็น มีในสิ่งที่อยากมีได้ตามปรารถนา และสามารถพูดหรือแสดงออกอย่างไม่มีข้อจำกัด . ปัญหาของอิสระที่ภายนอกเช่นนี้ คือมักจะมีความอยากเกี่ยวข้องเสมอๆ โดยที่จะสังเกตได้จากข้อความที่พูดถึงอิสระจะมีความอยากอยู่ด้วย ไม่ปรากฏชัดเจนก็แอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง คือการได้ เป็น ทำ หรือพูดตามที่ใจอยาก อิสระเช่นนี้ยังไม่แท้ เพราะมีความอยากเป็นเครื่องผูกมัด ยิ่งสนองตอบยิ่งถูกมัดแน่นขึ้น… Continue reading อิสระแท้จริงที่ใกล้ตัว
๔ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากทำร้ายคนอื่น
[ ก่อนเริ่มบทความ ผู้เขียนขอแสดงความขอบคุณและความชื่นชมจากหัวใจ ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเข้าเยี่ยมชมวัดพระแก้วและผู้จำหน่ายชุดแต่งกายประจำทางเข้า ซึ่งได้กรุณาเก็บคอมพิวเตอร์ที่ผู้เขียนใช้พิมพ์บทความนี้แล้ววางลืมทิ้งไว้พร้อมทั้งออกเดินตามหาผู้เขียนจนพบ ขอบพระคุณคุณตึ๋งผู้เดินตามหาผู้เขียนและสนทนาธรรมด้วยอัธยาศัยไมตรี เมื่อช่วงบ่ายคล้อยวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ขอประโยชน์และกุศลอันดีจากบทความนี้จงมีแก่ทุกท่าน . อนึ่ง ชุดที่จำหน่ายในวัดพระแก้วบริเวณทางเข้านั้นเป็นการจำหน่ายเพื่อนำรายได้เพื่อการกุศล สามารถให้การสนับสนุนได้แม้แต่งกายถูกต้องก็ตาม ] ๑ คาดหวังตัวเองอย่างไร คาดหวังคนอื่นอย่างนั้น : . เหตุใดเราจึงผิดหวังในตัวผู้อื่น เหตุใดจึงหวั่นไหวกับท่าทีและบางคำพูดของใครคนนั้นจนทำให้หงุดหงิด รำคาญ หรือท้อแท้ใจ เพราะอะไรเราจึงคอยกะเกณฑ์หรือสร้างเงื่อนไขบางอย่างต่อผู้อื่นและความสัมพันธ์ . เราจะไม่เป็นคนแพ้ ถ้าไม่คิดแข่งขันหรืออยากดีตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกันเราก็จะไม่ผิดหวังกับผู้อื่นหรือรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หากมิได้คาดหวังในตัวเองและไม่คิดเปรียบเทียบตนกับใครก่อน สิ่งที่เรากระทำต่อตนเองมักมีผลสะท้อนมายังการกระทำต่อผู้อื่น คนที่ชอบหลอกลวงโกหกคนอื่นก็เพราะเขาก็หลอกตนเองอยู่ด้วยเช่นกัน ด้วยการกลบเกลื่อนความจริงและการไม่ยอมรับตัวเอง . เราต่างก็เบียดเบียนกันอย่างไม่รู้ตัวก็ด้วยความคาดหวังเป็นอันดับแรกๆ ความคาดหวัง อาจจะอยู่ในรูปของความศรัทธา ความเชื่อมั่น และความเชื่อใจ โดยมีความอยากและความยึดติดผูกมัดในใจอยู่ลึกๆ เมื่อเขาหรือสิ่งนั้นเริ่มผิดแผกไปจากที่อยากและยึดติด เราก็เริ่มที่จะไม่พอใจ เดือดร้อน จนนำมาสู่การบีบคั้นและเบียดเบียนอีกฝ่ายหนึ่ง . พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ศาตราบ้าง… Continue reading ๔ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากทำร้ายคนอื่น
๔ ธรรมะในการตัดสินตีความ
๑ การตัดสินในทางพุทธศาสนา . การตัดสิน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า judge คือการตีตรา ตีความ ตัดสินที่จะมีมุมมอง พิจารณา และให้คุณค่าอย่างไร . เราอยู่กับการตัดสินทุกๆ วัน และแทบทุกชั่วโมง บางลัทธิและบางคำสอนร่วมสมัยสอนให้เราไม่ตัดสินอะไร “Don’t Judge Everything” แม้จะมีการตัดสินอยู่เนืองๆ ในจิตใจ รวมทั้งการตัดสินว่านี่คือการตัดสินหรือไม่ตัดสิน บางลัทธิและความเชื่อของบุคคลก็สุดโต่งไปในทางตัดสินทุกสิ่งบนโลกใบนี้ที่ตัวเองได้รับรู้ “Judge Everything” ด้วยจุดยืนและความคิดที่ตนยึดถือไว้ . พุทธศาสนาเป็นกลางระหว่างสองแนวคิดดังกล่าว ไม่ได้สอนให้เราตัดสินทุกสิ่ง มิได้บอกให้เพิกเฉยไม่ตัดสินสิ่งที่ควร แต่เน้นให้รู้จักการตัดสินที่เหมาะสมและรู้เท่าทันในการตัดสินตีความของตนเอง . การตัดสินนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เราจำเป็นต้องคิดและตัดสินใจว่าจะให้คุณค่ากับเรื่องต่างๆ อย่างไร จะมีท่าทีแบบไหน วันนี้จะใส่เสื้อผ้าชุดไหน อาหารที่ซื้อมารับประทานเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ชีวิตวันนี้จะมีคุณค่าได้อย่างไร คนๆ นี้เหมาะสมกับเราหรือเปล่า หรือจะรับฟังด้วยท่าทีตัดสินหรือไม่ตัดสินก็ต้องตัดสินใจ . การตัดสินและการตัดสินใจอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่น้อยครั้งที่เราจะย้อนกลับมาพิจารณาให้รู้เท่าทัน จึงมักเผลอตัดสินตีความไปอย่างไม่เหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาใหม่ หรือไม่ส่งเสริมกุศลให้เกิดขึ้น และการพยายามไม่ตัดสินที่มากจนเกินไปบางครั้งก็ทำให้เราไม่สามารถตัดสินในเวลาที่ควร . การตัดสินตีความเกิดจากการรับรู้ผ่านอายตนะหรือ หู… Continue reading ๔ ธรรมะในการตัดสินตีความ
๔ ธรรมะรับมือสรรพโรค
๑ มองโลกให้ถูกต้อง ไม่กลัวโรคภัย : . ความกลัวที่ขาดสติเป็นโรคที่น่ากลัวกว่าโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ ความกลัวเกิดจากอวิชชาแปลว่าความโง่หรือความไม่รู้จริงในกฎแห่งธรรมชาติ ความไม่รู้นี้ทำให้การรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทั้งหลายเป็นไปอย่างมืดบอดเหมือนหลับตาเดิน จะรับมือกับโรคภัยในโลกก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของโลก . การมองโลกอย่างถูกต้องจึงเป็นข้อแรก ในการรับมือกับสรรพโรคด้วยหลักคิดของธรรมะในพุทธศาสนา หากมองโลกไม่ถูกต้องแล้วความกลัวก็ย่อมครอบงำ ทำให้เรารับมือต่อสถานการณ์ที่มีทุกข์ภัยด้วยความโลภ โกรธ และหลง ส่งผลเป็นความทุกข์ต่อตนเองและคนอื่นเรื่อยไปไม่สิ้นสุด รับมือกับสถานการณ์ด้วยความโกรธก็กล่าวโทษไปทั่ว โลภก็ไขว่คว้าตักตวงฉวยโอกาส หลงก็ละเมอไปกับข้อมูลข่าวสารมากมาย แม้เชื้อโรคอยู่ไกลจากตัว แต่สุขภาพที่ดีก็เริ่มกลายเป็นบ้าเป็นโรคทางจิตตามหลักพุทธศาสนา เพราะการมองโลกไม่ถูกต้องเป็นจุดเริ่มต้น . ความจริงของโลกข้อแรกคือทุกสิ่งหนุนเนื่องไปตามแรงแห่งกรรม ความมีโรคและไม่มีโรค มีกรรมเป็นเครื่องกำหนด กรรมนี้มีความหมายถึงการกระทำและผลของการกระทำ ร้อยเป็นเส้นสายใยที่ต่อเนื่องด้วยเหตุและผล ทั้งในอดีต ปัจจุบัน แล้วนำไปสู่อนาคต สายใยนี้เชื่อมโยงตัวเรา คนอื่นๆ และสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติเข้าด้วยกัน ไม่มีใครก่อกรรมใดหรือรับผลกรรมใดเพียงลำพัง . ในแง่หนึ่งการอุบัติขึ้นของเชื้อโรคและภัยธรรมชาติที่หนักหนามากขึ้นก็เป็นผลพวงของกรรมร่วมกันของเราในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งเบียดเบียนบั่นทอนธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยการล้างผลาญ ตัดรอน และทำให้ทรุดโทรมลง จนโลกทั้งใบไม่อาจเพียงพอสำหรับเผ่าพันธุ์เดียว การประสบพบกับเหตุการณ์ร้ายและโรคระบาดร่วมกันจึงเป็นกรรมร่วมในสังคม . นี่คือความจริงข้อสำคัญมากที่คนร่วมสมัยเริ่มหลงลืมกันไปแล้วคือ กฎแห่งกรรม อันกล่าวว่า สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม สิ่งใดจะเกิดหรือไม่เกิดกับเราก็ล้วนเป็นไปตามกรรมที่กระทำมาในอดีตและวันนี้ การจะเจอหรือไม่เจอกับทุกข์ภัยก็ล้วนเป็นไปตามการกระทำที่เคยกระทำไว้ในอดีตและยาวนานกว่านั้น เราเคยเบียดเบียนบั่นทอนสิ่งใดมาก่อนวันหนึ่งเราก็ย่อมพบเจอเชื้อโรคหรือผู้คนที่มาเบียดเบียนบั่นทอนกายใจ เราเจอกับสิ่งที่ต้องเจอ เป็นในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็ด้วยเพราะเหตุแห่งกรรมกำหนด… Continue reading ๔ ธรรมะรับมือสรรพโรค
ข้อคิดและแนวทางเพื่อการ “พัก” อย่างแท้จริง
๑ ปริมาณและวันหยุดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด : . เราจะพักอย่างไรเพื่อให้กายจิตได้พักผ่อนอย่างแท้จริง บางครั้งเราก็ต้องการเวลาหยุดพักนานๆ วันหยุดที่ยาวต่อเนื่องกัน แต่เราได้พักในเวลาเหล่านั้นอย่างแท้จริงมากเพียงใด บางทีหยุดงานแล้วเราก็เลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวหรือตระเวนกิน เสพความบันเทิง และจับจ่ายใช้สอย แต่เราได้พักอย่างแท้จริงเพียงใด หลายครั้งการพักผ่อนหย่อนใจก็ทำให้เราเหนื่อยล้าหรือป่วยมากขึ้น . ภายนอกอาจได้หยุดพัก แต่หลายครั้งที่ภายในไม่ได้พักจริง จึงยิ่งพาภายนอกไม่ให้พัก เช่น หยุดทำงานก็หยิบมือถือขึ้นมาตรวจสอบสิ่งต่างๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตโดยไม่จำเป็น หรือวันหยุดแล้วก็อยากไขว่คว้าสิ่งต่างๆ หรือคิดถึงอนาคตบ้างอดีตบ้างจนความคิดไม่ได้สงบลงเลย บางคนหลับลงแล้วยังทำงานต่อก็ยังมี . บางครั้งเราก็รู้ว่าภาระภายนอกและกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำช่างมากมายเหลือเกินจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนหรือใส่ใจดูแลตนเองอย่างเพียงพอ . ในพระไตรปิฎก*(๑) กล่าวว่าภารกิจของพระพุทธเจ้าในแต่ละวันนั้นมีอยู่ห้าอย่างด้วยกัน มีได้แก่ ปุเรภัตตกิจ กิจก่อนเสวยอาหารตั้งแต่รุ่งเช้า อาทิ ทรงบิณฑบาต เสด็จไปอาณานิคมต่างๆ ตรวจดูจิตของสัตว์โลก อนุเคราะห์อุปัฏฐาก เป็นต้น , ปัจฉาภัตตกิจ กิจหลังเสวยอาหาร ให้โอวาทภิกษุและประทานกรรมฐานให้ฝึกฝน และทรงเยี่ยมหมู่ชนที่รวมกลุ่มมา เป็นต้น , ปุริมยามกิจ กิจยามค่ำ ตอบคำถามเหล่าภิกษุทั้งหลายจนถึงช่วงค่ำ จนถวายบังคมลาแล้ว , มัชฌิมยามกิจ กิจยามค่อนดึก ทรงต้องต้อนรับเทวดาน้อยใหญ่ที่มาประชุมกันและทรงวิสัชนาปัญหาให้… Continue reading ข้อคิดและแนวทางเพื่อการ “พัก” อย่างแท้จริง