“๕ แง่คิดเมื่อถูกเข้าใจผิด” คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต ๑ คุณค่าไม่ได้ขึ้นกับความเข้าใจ : . เมื่อใดที่คนอื่นเข้าใจตัวเราผิดพลาด แล้วทำให้รู้สึกหม่นหมอง เสียกำลังใจ โกรธหงุดหงิด หรือน้อยเนื้อต่ำใจ แสดงว่าใจเรากำลังผูกคุณค่าตนเองไว้ที่มุมมองกับความคิดของผู้อื่น และการได้รับความเข้าใจ จนเป็นทุกข์ . การใส่ใจความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเราถือสิ่งนี้ไว้มากเกินไปจนไม่มีหลักยึดให้ใจหนักแน่นพอ หัวใจก็จะเป็นลูกบอลที่ถูกยื้อแย่งและส่งไปหาคนนั้นที คนนี้ที มิได้กลับมาหาคุณค่าที่ตนเองอย่างมั่นคง ความสุขทุกข์ก็จะขึ้นอยู่กับผู้อื่น . เรากำลังนำภาพที่คนอื่นมองเห็นมาเป็นเนื้อตัวเรา ทั้งที่ความคิดคนผันแปรไม่แน่นอน เมื่อใดอารมณ์ดีความคิดก็เป็นอย่างหนึ่ง เมื่อใดอารมณ์เสียความคิดก็เปลี่ยนแปลง ยามทำถูกใจก็ยกยอชื่นชม ยามขัดใจก็หมิ่นหยามหมางเมิน . ตัวเราคือสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ณ ตรงนี้ มิใช่ในดวงตาหรือความคิดใคร หากเราถือตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่คนอื่นมอง ก็เสมือนถือว่าภาพจากเครื่องฉายเป็นของจริง เมื่อใดเขาไม่สนใจไยดีหรือคิดเห็นเป็นอื่น เราก็รู้สึกด้อยค่าประหนึ่งไม่มีตัวตน . การถูกเข้าใจผิดมิได้ติดตราประทับไว้ที่ตัวเราแต่เพียงลำพัง คนที่ทำคุณงามความดีหลายคนย่อมเคยผ่านการถูกเข้าใจผิด หรือแม้แต่การถูกประณามหยามเกียรติ ศาสดาของศาสนาต่างๆ ย่อมเคยถูกเข้าใจผิดหรือคิดเห็นในทางลบร้ายจากผู้อื่น ก่อนที่ท่านจะก้าวผ่านด้วยสัจจะ ศรัทธา และปัญญา . หากพวกท่านนำคุณค่าจากสายตาผู้อื่นมาเป็นเครื่องชี้วัดตัดสินคุณค่าแล้ว… Continue reading ๕ แง่คิดเมื่อถูกเข้าใจผิด
Category: ไกด์โลกจิต
๗ วิธีไม่สมบูรณ์แบบ ลดความเป็นนัก(ใฝ่)สมบูรณ์แบบ
บทความนี้ได้ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่แล้ว อ่านฉบับใหม่ได้ที่ https://www.dhammaliterary.org/reduce-perfectionist/ ๗ วิธีไม่สมบูรณ์แบบ ลดความเป็นนัก(ใฝ่)สมบูรณ์แบบ “Perfectionist” เป็นลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่พยายามทำให้สิ่งต่างๆ หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ใส่ใจ ดีครบถ้วนสมบูรณ์ตามมาตรฐานหรือหลักการที่ยึดถือ แต่มักทุ่มเทและจดจ่อเกินไป จนกลายเป็นความเครียดและการบีบคั้นตนเองและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง รู้สึกยากที่จะพอใจและเชื่อใจ . เราทุกคนสามารถมีภาวะและลักษณะเช่นนี้ได้ บางคนมีลักษณะนี้เป็นบุคลิกประจำตัวอาจพยายามทำให้ “เป๊ะ” ทุกเรื่องหรือหลายเรื่อง หลายคนที่ไม่ได้มีบุคลิกนิสัยนี้ก็อาจมีเรื่องบางเรื่องที่จะจดจ่อมากเป็นพิเศษ อ่อนไหวมากกว่าเรื่องอื่น ถ้าหากว่าลักษณะอาการนี้มีมากเกินไปจนไม่อาจควบคุมได้ จักกลายเป็นอาการทางจิตเรียกว่า “Perfectionism” ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต . – สัญญาณที่บอกว่าเราอาจกำลังใฝ่ความสมบูรณ์แบบในเรื่อง/คนนั้นๆ เช่น – กลัวความผิดพลาดและความไม่แน่นอนกับเรื่อง/คนดังกล่าวจนวิตกกังวล – ทุ่มเทเต็มที่และตั้งใจเกี่ยวกับเรื่อง/คนดังกล่าวจนเกินพอดี พยายามเข้าไปจัดการแม้แต่เรื่องเล็กๆ สิ่งน้อยๆ – รับผิดชอบมากเกินไปจนกลายเป็นการแบกรับและทำให้เราละเลยเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ หรือไม่ค่อยได้พัก – โกรธหรือหงุดหงิดง่ายหากเรื่อง/คนดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่เรียบร้อย – ใส่ใจรายละเอียดมากเกินไป จนไม่อาจวางใจหรือปล่อยวาง – จับผิดเล็กๆ น้อยๆ เห็นข้อตำหนิข้อบกพร่องมากมาย แต่ไม่ค่อยใส่ใจข้อดีที่มีอยู่ –… Continue reading ๗ วิธีไม่สมบูรณ์แบบ ลดความเป็นนัก(ใฝ่)สมบูรณ์แบบ
อย่าควบคุมลูกมากเกินไป : กรณีศึกษา แคเรน คาร์เพนเทอร์ และงานวิจัยอื่น
วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๓ เป็นวันที่โลกต้องสูญเสียนักร้องหญิงซึ่งมีน้ำเสียงดั่งนางฟ้า ผู้ฝากผลงานเพลงไพเราะมากมาย เช่น Close to you , Top of the world นาม “แคเรน คาร์เพนเทอร์” เสียชีวิตแม้อายุเพียง ๓๒ ปี เธอจากไปด้วยอาการหัวใจล้มเหลว สืบเนื่องมาจากโรคกลัวอ้วน แต่สาเหตุใดที่ผลักดันให้เธอเป็นโรคเช่นนี้ และมีแนวโน้มมาตั้งแต่วัยเด็ก . ความสัมพันธ์ระหว่างแคเรนกับครอบครัว ถูกอธิบายว่า …ซับซ้อน… ผู้เป็นแม่คาดหวังให้ความสามารถทางดนตรีของพี่ชาย : ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ประสบความสำเร็จ ก้าวหน้า และมีชื่อเสียง ซึ่งพาให้เธอต้องสนับสนุนเรื่องนี้ด้วย แต่ไม่มีใครเตรียมตัวให้แคเรนรับมือกับความสำเร็จเหล่านั้น ว่าจะนำมาสู่ความเครียด และสิ่งใดบ้าง เช่นเดียวกันกับเด็กอีกหลายคนที่ถูกผลักดันและกดดันสู่ความเป็นเลิศ . ทั้งโดยลักษณะนิสัยและการเลี้ยงดู ทำให้เธอมีลักษณะเป็นคนที่ทำตามความคาดหวังจากผู้อื่นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ โดยปฏิเสธความต้องการของตนเอง ซึ่งหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ ได้ระบุหลังจากเธอเสียชีวิตว่า สองสิ่งในโลกที่มีค่าสำหรับแคเรน คือเสียงของเธอและความรักจากแม่ โดยทั้งสองเป็นสิ่งพิเศษที่พี่ชายได้ครอบครอง… Continue reading อย่าควบคุมลูกมากเกินไป : กรณีศึกษา แคเรน คาร์เพนเทอร์ และงานวิจัยอื่น
7 วิธีดูแลด้านลบในตัวเอง (ตอนสอง)
7 วิธีดูแลด้านลบในตัวเอง (ตอนสอง) 5 รักตัวเองตรงไปตรงมา : ทุกด้านมืดในตัวตน มีความรักและความห่วงใยตนเองซ่อนอยู่ เป็นความพยายามปกป้องตนจากความกลัวและบาดแผลที่เด็กน้อยข้างในเจ็บปวดมาแต่วันวาน และมักเป็นความพยายามเติมเต็มความต้องการแท้จริงในหัวใจ ด้วยความเคยชินที่อาจไม่เหมาะสมนัก . ความต้องการแท้จริงที่ว่านี้ คือความต้องการพื้นฐานของหัวใจมนุษย์ทุกคน มีอาทิเช่น ความรัก ความปลอดภัย ความเข้าใจ การสื่อสาร การแสดงศักยภาพ การเติบโต และอื่นๆ อีกมากมาย เราต่างมีความต้องการเหล่านี้อยู่ในใจเหมือนกัน แต่แสดงออกเพื่อหมายเติมเต็มไม่เหมือนกัน . เพื่อความภาคภูมิใจและการมีคุณค่า บางคนไขว่คว้าฐานะตำแหน่งสูงใหญ่ บางคนพอใจในการมีบ้านและที่ดินเล็กๆ เป็นของตัวเอง บ้างพยายามสอบติดในมหาวิทยาลัยและคณะที่ดี บางคนเข้าอบรมมากมาย ต่างพยายามมุ่งไปสู่จุดเดียวกันในหลากหลายวิธีการ . เหตุการณ์ในอดีตบางเรื่องทำให้หัวใจมีช่องโหว่ ทำให้ความต้องการบางข้อถูกจำกัดหรือไม่ได้รับการเหลียวแล กลไกการปกป้องตัวของหัวใจจึงสร้างพฤติกรรมหมายให้เราดูแลและเติมเต็มชิ้นส่วนที่หายไป หรือเพื่อเรียกร้องใครสักคนให้กลับมาดูแล เราต่างมีด้านลบที่พยายามเติมเต็มรูรั่วของหัวใจตน แต่ซ้ำร้ายที่หลายครั้งท่าทีดังกล่าว กลับทำให้หัวใจยังคงรู้สึกขาดแคลน . เมื่อต้องการความเข้าใจ เรากลับพูดประชดประชันและบ้างเงียบงันต่อกัน ความเข้าใจจึงไม่เกิดขึ้น หัวใจก็ยิ่งรู้สึกอ้างว้างและความสัมพันธ์ยิ่งมีช่องว่างสวนทางกับความต้องการภายใน . แทนที่เราจะดูแลความต้องการข้างในให้ตรงไปตรงมา กลับทำให้มันยากขึ้นด้วยกำแพงของหัวใจเราเอง ด้านลบในตัวเราก็มีคุณค่า เขาช่วยปกป้องตัวเราจากสิ่งที่กลัวหรือเคยถูกทำร้าย… Continue reading 7 วิธีดูแลด้านลบในตัวเอง (ตอนสอง)
7 วิธีดูแลด้านลบในตัวเอง (ตอนแรก)
1 ยอมรับตัวเอง แต่ไม่จมปลัก : เราจะแก้ปัญหาใดได้ เราต้องมองให้เห็นปัญหาและสาเหตุของปัญหานั้นก่อน ก้าวแรกที่สำคัญของการแก้ไขพฤติกรรมและสิ่งลบในตัวเอง จึงเป็นการยอมรับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่และเต็มใจ เริ่มจากการพิจารณาถึงผลเสียที่เคยเกิดขึ้นต่อตนและคนอื่น ใคร่ครวญด้วยหัวใจ ยอมรับความผิดพลาดที่ผ่านมา รักตัวเองให้มากพอที่จะพัฒนาตนและแก้ไขข้อบกพร่องที่ทำให้เราและคนรอบข้างเป็นทุกข์ . ความกล้าหาญที่แท้จริงอยู่ในหัวใจเราทุกคน เมื่อยืดอกเผชิญหน้าปัญหาที่เกิดขึ้นจากตน ไม่พยายามหลีกเลี่ยง เบี่ยงเบน หรือผลักไสโทษคนอื่น เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง หากแก้ไขอย่างขาดการยอมรับแล้ว ย่อมแก้ไม่ถูกจุด เพราะอาจพยายามโทษคนอื่นและสิ่งนอกตัว แต่ละเลยพฤติกรรมเดิมๆ ซึ่งพาให้เกิดปัญหาแบบที่เคยเกิดขึ้น . การมองโลกแง่ดีและคิดบวกต่อตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากขาดการยอมรับด้านลบแล้ว เท่ากับยังเป็นการหลอกตัวเองและกลบเกลื่อนปัญหาไว้ ยอมรับตัวเอง หมายถึงเข้าใจตัวเองรอบด้าน ตามความป็นจริง ทั้งดีร้ายและความเคยชิน ส่งผลดีและเสียอย่างไร ไม่เฉพาะด้านที่อยากมอง . การยอมรับคือแลเห็นแต่ไม่ตอกย้ำ ยอมรับแต่ไม่ซ้ำเติมตัวเองจนเราไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เพราะการยอมรับไม่ใช่การจมปลัก เพียงต้อง “เห็นโทษ” จากสิ่งที่ทำอย่างเข้าใจ แต่ไม่ใช่ “เฝ้าโทษ” ตัวเอง แม้รู้ว่าเรามีเสียอย่างไร มีด้านลบแบบไหน แต่หากเราเอาแต่ย้ำคิดว่า เพราะฉันเป็นคนเช่นนี้ เช่นนี้ จะยิ่งมีแต่ส่งเสริมให้เรายึดติดด้านลบนั้นเป็นตัวตน เป็นของตน ทั้งที่เรามีหลากหลายด้านในตัวเอง . ยอมรับคือแลเห็นและน้อมนำมาพิจารณาปรับปรุง เพื่อระวังไม่ให้กาย… Continue reading 7 วิธีดูแลด้านลบในตัวเอง (ตอนแรก)
๓ ประโยชน์ ฝึก “กราบ” กำราบใจ
๓ ประโยชน์ ฝึก “กราบ” กำราบใจ บทความนี้ขอนำเสนอความหมายและคุณค่าของจริยาหนึ่งในวัฒนธรรมไทยและสังคมพุทธศาสนา คือการ “กราบ” เราไม่เพียงกราบเพื่อเคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อยำเกรงหรือสร้างอภินิหาร เพราะจริยาและมารยาทของสังคมไทยมักมีธรรมะอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่เป็นกรอบธรรมเนียม “บังคับ” แต่เป็นหลัก “กำกับ” กายใจให้อยู่บนทางของความดี ความงาม และความจริง “กำราบ” ใจต้านทานกระแสของกิเลสและสิ่งมัวหมองทั้งหลาย . เรากล่าวได้ว่าการดำรงอยู่ใน จริยธรรม ทั้งการประพฤติปฏิบัติทั้งหลาย ด้วยกาย วาจา และใจ ซึ่งมีหลักมารยาทและการประพฤติที่เหมาะสม เป็นดั่งการปฏิบัติธรรมระหว่างการใช้ชีวิต เพื่อสกัดกั้นกายใจมิให้มีโอกาสก่อทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่นในสังคม เป็นศีลครองตน และเป็นการภาวนาเพื่อขัดเกลาใจจากกิเลส . ทั้งนี้ในบทความได้ยกประโยชน์การ “กราบ” ในฐานะการฝึกจิตใจในชีวิตประจำวัน เป็นสามข้อ ดังนี้ . . ๑ ลดความทุกข์จากการถือมั่นอัตตาตน : การกราบนั้นเป็นมากกว่าการไหว้ เพราะเราไม่เพียงแสดงความเคารพด้วยค้อมศีรษะลงเท่านั้น แต่ยังน้อมทั้งตัวลงกับพื้นที่ต่ำกว่าตนและคล้อยต่ำลงกว่าอีกฝ่าย เป็นการค้อมกายเพื่อฝึกน้อมใจค้อมลงต่ำ ดัดจิตผ่านจริยวัตรเป็นอุบาย . จิตคนนั้นมีแนวโน้มจะใฝ่มองสิ่งสูงกว่าตนและใฝ่หาสิ่งวิเศษอันเลอค่า แล้วเป็นทุกข์เพราะลืมความเป็นธรรมชาติธรรมดาอันเป็นจริง ที่อยู่กับดินและเรียบง่าย ต้องเที่ยวมองขวนขวายไขว่คว้ามายาทั้งหลายมา จนเดือดร้อนเป็นทุกข์เพราะมิอาจรู้สึกพอใจในชีวิตอย่างแท้จริง… Continue reading ๓ ประโยชน์ ฝึก “กราบ” กำราบใจ
๔ สิ่งที่ความป่วยกายสอนหัวใจ (ตอนสอง)
๔ สิ่งที่ความป่วยกายสอนหัวใจ (ตอนสอง) ความจริงที่เจ็บปวด คือสิ่งที่เราควรรับฟังให้มากที่สุด ยิ่งกว่าความจริงอันหอมหวาน เวลาหัวใจเราซับซ้อนเกินไปจนก่อทุกข์แก่ตนเองหรือใครๆ ร่างกายจะยังคงตรงไปตรงมา เฝ้าส่งสัญญาณเตือนใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนมิตรที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง คอยบอกคำจริงที่ไม่หวาน แม้หัวใจไม่อยากรับฟัง รวนเรเพราะความอยากและอารมณ์นานา . บทความนี้ยังคงต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เพิ่มเติมอีกสองหัวข้อ สำหรับบทเรียนหรือสิ่งสำคัญที่ความเจ็บไข้ได้ป่วยทางร่างกายสอนแก่หัวใจเรา . ๓ ไม่มีความเป็นตัวตนให้ยึดถือไว้ : แม้ใจเราหวังให้สิ่งต่างๆ คงอยู่ตราบนานเท่านาน หรือคิดไปเองว่าสิ่งทั้งหลายที่รักและหวงแหนจะอยู่กับเราเช่นนั้นชั่วนิรันดร์ แต่ย้อนมามองร่างกายของตัวเอง เราก็มิอาจทำให้เป็นเช่นนั้นได้เลย โรคและความป่วยไข้มักมาเยือนในเวลาที่ไม่อยากให้เกิด อวัยวะ ผิวหนัง และกล้ามเนื้อย่อมต้องหย่อนยานและเสื่อมลง แม้เราสะกดจิตตนเองมากเท่าใดก็ตาม หรือพยายามรักษาความงามและเฝ้าดูแลสิ่งที่ยึดถือไว้อย่างไร ร่างกายและแม้ตัวตนก็ต้องแปรเปลี่ยน . ด้วยความกลัวในหัวใจ คนเรามักพยายามยึดให้ทุกสิ่งคงอยู่ ทำทุกอย่างแม้อย่างน้อยแค่ได้รู้ว่าสิ่งที่รักและหวงแหนนั้นจะยังคงเป็นเช่นที่อยากให้เป็น แต่ร่างกายก็พยายามสอนธรรมอยู่อย่างนั้นให้เรารับฟัง ไม่มีสิ่งใดคงที่และเที่ยงแท้ แม้แต่หัวใจเราเองก็ตาม แต่คนเรามักไม่ค่อยได้ฟัง พยายามใช้ชีวิตและร่างกายอย่างเกินธรรมชาติเพื่อคว้ามาซึ่งสิ่งที่อยากได้และอยากเป็น จนกระทั่งวันหนึ่งความป่วยเท่าทวี เตือนเราหนัก สิ่งที่คว้ามาก็ต้องปล่อยลงแม้ใจไม่อยากก็ตาม . คนสวนไม่อาจห้ามต้นไม้มิให้ชราและตายจาก มิอาจห้ามออกผลหรือทิ้งดอกใบ แต่ทำได้ดีที่สุดที่จะบำรุงรักษาตามปัจจัย แล้วชื่นชมคุณค่าทั้งในยามงอกงามและโรยรา . คนสวนเรียนรู้ธรรมจากต้นไม้ที่ตัวเองปลูก… Continue reading ๔ สิ่งที่ความป่วยกายสอนหัวใจ (ตอนสอง)
๔ สิ่งที่ความป่วยกายสอนหัวใจ (ตอนแรก)
๔ สิ่งที่ความป่วยกายสอนหัวใจ (ตอนแรก) เวลาที่เราเจ็บป่วย นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่ตนจะได้เรียนรู้ธรรมะและความจริงจากร่างกายเรานี้เอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนมีความหมาย ดังนั้นแล้วโรคและความป่วยไข้ต่างเป็นแขกมาเยือนแก่เรา เพื่อมอบความตระหนักรู้ที่ล้ำค่าแก่ชีวิต ชนิดที่เราเองก็อาจหลงลืมหรือละเลยไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา . หากเราเข้าใจและฝึกใจน้อมรับสารเหล่านี้ การมีชีวิตอย่างสุขสงบและอิสระ ท่ามกลางความไม่เที่ยงแท้ต่างๆ ของโลก ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม การป่วยไข้ในแต่ละครั้งก็จะมิใช่เพียงสิ่งที่เราพยายามหนีให้พ้น แต่เป็นการเข้าห้องสอบของชีวิต เพื่อผลปลายทางสุดท้ายคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง . . ๑ คุณค่าชีวิตยังมีอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ใฝ่หา : เราหลายคนพยายามทำงานวันแล้ววันเล่าเพื่อคุณค่าของชีวิตที่เป้าหมาย เช่น ความสำเร็จ การยอมรับจากคนรอบข้าง ทรัพย์สินเงินทอง สถานะทางสังคม การเป็นผู้ให้ หรือได้ค้นพบศักยภาพในตนเอง เราอาจมีความสุขเมื่อไปถึงเป้าหมาย หรือสุขที่ได้สัมผัสใกล้เป้าหมายมากขึ้นตามลำดับ แต่ท้ายที่สุดความทุกข์ในร่างกายก็จะฉุดชวนเรากลับมาทบทวน ไม่วันใดก็วันหนึ่งว่า ชีวิตสำคัญน้อยกว่าความสำเร็จหรือสิ่งที่หวังนั้นใช่หรือไม่ หากเราไม่มีชีวิต เป้าหมายหรือสิ่งที่หวังนั้นยังมีประโยชน์อยู่หรือไม่ . ความสุขและความพอใจที่ฉวยคว้ามาได้ จะเหลืออยู่จีรังเพียงใด เมื่อชีวิตกำลังหมดลมหายใจหรือร่างกายไม่อาจมีสมบูรณ์ครบเหมือนเดิม . เมื่อใดที่ตาชั่งคุณค่าของชีวิตเอนเอียงไปทางใดมากเกินไป เมื่อนั้นย่อมเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์และปัญหาทางสุขภาพกายกับใจติดตามมา . สำหรับบางคนแล้วคุณค่าชีวิตอยู่ที่การดูแลใส่ใจผู้อื่น จนวันหนึ่งไม่แก้ไขปัญหาของชีวิตตนเองได้เลย ขณะเที่ยวแก้ปัญหาให้ใครอื่น หรือแบกรับความคาดหวังจากใครๆ จนหัวใจอ่อนล้าและหลงลืมว่า… Continue reading ๔ สิ่งที่ความป่วยกายสอนหัวใจ (ตอนแรก)
คุณค่าแท้การให้อภัย
คุณค่าแท้การให้ “อภัย” การให้อภัยไม่ใช่การให้คนอื่น แต่เป็นการให้แก่ตัวเอง : การให้อภัยนั้นเรามักเข้าใจว่าเป็นการให้กับผู้อื่นที่ทำร้ายหรือกระทำสิ่งผิดต่อเราและสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง ทว่าจริงๆ แล้วนั้นการให้อภัยเป็นการย้อนกลับมาให้ตัวเอง มอบทานที่ล้ำค่าให้แก่จิตใจนี้ . เมื่อใครอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ เราย่อมเสียใจและเจ็บปวด อยากให้เขาชดใช้ หวังให้เขาสาสมแก่สิ่งที่กระทำ เมื่อนั้นแล้วเรากำลังทับถมตนเองด้วยความโกรธ ความเกลียด และกิเลสทั้งหลาย เราคิดจงเกลียดจงชังเช่นนั้น เรารู้สึกพยาบาทเช่นนี้ เพื่อปกป้องหัวใจตัวเองจากความเจ็บปวด แต่เราเองกำลังทำร้ายตนด้วยสิ่งลบร้ายในหัวใจ ซึ่งมีอยู่ในหัวใจของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน . การให้อภัยแท้จริงแล้วคือการให้ตัวเองเป็นอิสระ จากความโกรธแค้น ความผูกใจเจ็บ และความเจ็บปวดที่เราทับถมตนเอง . เพราะแม้อีกฝ่ายจะได้รับผลสาสมดั่งใจเราอยากให้เป็น ความเจ็บปวดที่มีก็ใช่ว่าจะหายไปจากหัวใจ . เพราะหัวใจเรานี้จะเปรียบก็เหมือนภาชนะ ทุกสิ่งที่เราคิด พูด และทำโดยขาดสติ ย่อมเหมือนเก็บดองนองเนื่องไว้ภายในหัวใจเรานั้น . ความเจ็บปวดอันเกิดจากบุคคลอื่นกระทำต่อเรา มิได้เป็นนรกอันเลวร้าย มากไปกว่าการขังหัวใจตัวเองไว้ในความชิงชังและความเศร้าโศก . เราอาจรู้สึกว่าการบอกให้อภัยนั้นมันง่าย แต่ใจที่จะให้อภัยมันยาก ความรู้สึกที่อีกฝ่ายกระทำต่อเรามิได้หายไปง่ายดาย นั่นเพราะการให้อภัยมิใช่คำพูด แต่เป็นการทำที่หัวใจเรา ทำใจของเรา . การให้อภัยคือการปลดปล่อยใจจากความคิด ความรู้สึก และการกระทำของความโกรธเกลียดและเศร้าหมอง เพื่อให้หัวใจเราไม่ทิ่มแทงหัวใจตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า… Continue reading คุณค่าแท้การให้อภัย
2 ละ 1 เริ่ม เพื่อปีใหม่ของชีวิต
2 “ละ” 1 “เริ่ม” เพื่อปีใหม่ของชีวิต 1 ละเลิกการสร้างเงื่อนไขไม่ให้ตัวเองทำสิ่งที่ควร : กำแพงที่ขวางกั้นตัวเรามากที่สุดก็คือความเชื่อที่เราสร้างขึ้นให้ตัวเอง ปีใหม่อาจมิได้แตกต่างจากปีเดิมเท่าไรนัก หากเงื่อนไขของหัวใจทั้งหลายยังผูกพันใจเราอยู่เช่นปีเก่า . บ่อยครั้งที่เราอาจย้ำคิดแก่ตัวเองว่า “ถ้า…ฉันก็จะสามารถ…” หรือ “เพราะฉันไม่ได้… ฉันจึงไม่สามารถ…” นี่คือหนึ่งในเงื่อนไขที่เราผูกพันตัวเองไว้ เพราะเมื่อใดที่ใจเราคิดเช่นนี้ จิตและสมองก็จะไม่ได้โฟกัสว่า แท้จริงแล้วเราสามารถทำอะไรได้ แต่มัวใส่ใจว่า “ถ้า…” หรือไม่ . ปีเก่าล่วงเลยไปกี่ปีแล้วที่เราย้ำซ้ำอยู่เหมือนเดิม เพราะสมองและจิตตกร่องเงื่อนไขที่เราป้อนให้ตัวเองแบบนี้ และหวังกับตนเองว่า “ปีหน้า ฉันจะ…” แล้วก็ “จะ” อยู่อย่างนั้น วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า . ปีใหม่ของชีวิตไม่ได้เริ่มต้นเพราะเปลี่ยนปฏิทิน แต่เริ่มต้นที่การก้าวข้ามของหัวใจ หลายครั้งเรารู้ตัวว่าควรทำอะไร แต่ใจลังเลที่จะทำ เพราะ “มันจะดีกว่าถ้า…” หรือ “ฉันมันก็แค่…” สมองและจิตก็เลยจมอยู่กับกำแพงของคำว่า ถ้า และ แค่ ที่เราสร้างขึ้น จนมองไม่เห็นหนทางที่มีอยู่แล้วในตอนนี้… Continue reading 2 ละ 1 เริ่ม เพื่อปีใหม่ของชีวิต