บันทึกบทเรียน เขียน = ปลดปล่อยชีวิต ๒๕๕๘

บันทึกบทเรียน คอร์สกึ่งออนไลน์  เขียน = ปลดปล่อยชีวิต ๒๕๕๘   ” ผมได้เขียนบันทึกทั้ง 2 ชุดไป นี้ ผมรู้สึกว่า ตัวเองเริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองมาขึ้นครับ โดยเราเริ่มที่จะตัดสินใจทำในสิ่งที่ เราได้คิดถึงสิ่งที่จะส่งผลกระทบถึงตัวเองและเป้าหมายของตัวเองมากขึ้นครับ ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มมองเห็นเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราอยากทำ และจริงๆมันก็เป็นสิ่งที่เราฝันไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่เพราะเรามีความคิดที่ว่าเรื่องที่เราฝันนนั้นมันไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆจริงๆหรอก แต่ตอนนี้ผมเราสามารถเชื่องโยงสิ่งที่เราฝันนั้น ให้เป็นระบบมากขึ้นและเชื่อมโยงมันกับกลับประสบการณ์ใหม่ๆของเรา”   (วิสวะ  กาย ,  นักศึกษา)   ” โลกภายในของเธอนั้นช่างยิ่งใหญ่เกินคาดเดาได้ และการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่รู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป ถ้าหากหัวใจเธอยังเรียกร้อง เธอก็ยังคงสรรค์สร้างหนทางสู่โลกภายในของเธอต่อไป และด้วยบทสนทนาแห่งชีวิต ที่จะนำพาเธอไปพบความมหัศจรรย์ และความยิ่งใหญ่ของชีวิตต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วสักวันหนึ่งเธอทุกคนจะเข้าใจชีวิต…ชีวิตที่แท้จริงของเธอเอง ……………………………………………………………………………………………. ขอบคุณคุณครูโอเล่สำหรับการเรียนรู้ร่วมกันในครั้งนี้ ครูผู้บุกเบิกและนำทางการเดินทางสู่โลกภายใน คอยให้คำแนะนำและกำลังใจ การเรียนรู้ครั้งนี้มีคุณค่าและทรงพลังมาก อย่างน้อยก็เป็นก้าวแรกของความกล้าหาญ ที่เราจะได้ก้าวเข้าไปสำรวจโลกภายในของเรา และได้ทำความรู้จักตัวเราที่แท้จริงอีกครั้ง   สุดท้าย…ครูเป็นเพียงผู้นำทาง แต่เราเองจะต้องเป็นผู้ก้าวเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ”   (ชาญชัย , พนักงานบริษัท)   ”… Continue reading บันทึกบทเรียน เขียน = ปลดปล่อยชีวิต ๒๕๕๘

บันทึกบทเรียนอบรม ๖ เดือนผู้ต้องขังเรือนจำ ๒๕๕๘

บันทึกบทเรียนอบรม ๖ เดือนผู้ต้องขังเรือนจำ ๒๕๕๘   การเขียนบำบัดและจิตปัญญาพัฒนาชีวิต ณ เรือนจำสมุทรปราการ แดนหญิง แก่ผู้ต้องขังและผู้ติดเชื้อภูมิคุ้มกันบกพร่อง เรียนรู้จักตนและเพื่อน ความไว้วางใจ ทักษะชีวิต และคุณค่าของตน   ชมภาพทั้งหมดได้ที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.901582619907106.1073741856.205984142800294&type=3&uploaded=19  

รวมสรุปการเรียนรู้ การอบรม เขียนค้นพบตัวเอง ๒๕๕๘

รวมบทเรียนการเรียนจักตนและการเรียนรู้ จากการอบรมกึ่งออนไลน์ “เขียน = ค้นพบตัวเอง”   ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.ebooks.in.th/ebook/32504/รวมบทเรียนการเรียนจักตนและการเรียนรู้_%22เขียน_=_ค้นพบตัวเอง%22_๒๕๕๘/   คุณหญิง อาชีพ พยาบาล “กลับมาเห็นความสำคัญของด้านตรงข้ามที่อยู่ในตัวเรา ที่จะช่วยให้เราได้ปรับใช้กับบางสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมค่ะ ทุกสิ่งอย่างเป็นการเรียนรู้และช่วยให้เราเติบโตได้จริงๆค่ะ เพียงแต่เรามีสติกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ ที่ช่วยเตือนให้มีสติกลับมา และบ่งบอกว่าต้องเจริญสติให้มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ก้าวข้ามขอบของตัวเอง คือการยอมรับและเปิดเผยตัวตน โดยเฉพาะด้านร้ายของตัวเอง ก้าวข้ามความกลัวจากการปรุงแต่งไปล่วงหน้า ยอมรับการเสียหน้า ความผิดพลาด และล้มเหลว (แต่ยังทำได้ไม่ดี เพียงแค่คิดว่า ไม่ใช่ปัญหา…แต่คือการเรียนรู้) ”   คุณปวี อาชีพ วิศวกร “ผมคิดว่าหลังจากจบหลักสูตรนี้แล้ว ผมจะใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวเองให้น้อยลงนะครับ เพราะรู้สึกเลยว่าลึกๆแล้วตัวเองอยากจะลงมือทำแล้ว รู้สึกว่าคิดทบทวนเรื่องตัวเองโดยไม่ได้ทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมมานานเกินพอละ และก็จะพยายามมองหาความสุขรอบๆตัวให้มากขึ้น อยากที่จะตื่นขึ้นมาทุกวันโดยรู้ตัวว่าวันนี้เราอยากทำอะไร ไม่ใช่ว่าตื่นมาพร้อมกับความเบื่อหน่ายที่ว่าวันนี้เรามีสิ่งที่ไม่อยากทำ แล้วมานั่งคิดถึงสิ่งที่อยากจะเป็นในวันพรุ่งนี้ บางทีแล้ว เราอาจจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการได้ โดยที่เราไม่ต้องแก้ไขอะไรมากมายเลยก็ได้”   คุณกอบกุล  อาชีพ แม่บ้าน ” การบันทึก เป็นสิ่ง มหัศจรรย์ทำให้เรา เจอปม อะไรบางอย่าง… Continue reading รวมสรุปการเรียนรู้ การอบรม เขียนค้นพบตัวเอง ๒๕๕๘

มองโลกมุมใหม่ผ่านใจตากล้อง

มองโลกมุมใหม่ผ่านใจตากล้อง คุณแวว วิภา สุขพรสวรรค์ งานเขียนต่อยอดจากบันทึกการอบรม “เขียน = ค้นพบตัวเอง”     20 ธ.ค. 2545  เป็นอีกวันหนึ่งที่คงจะอยู่ในความทรงจำของฉันไปอีกนาน  วันนั้นเป็นวันที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทยมาเลย์นัดหมายเดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีที่สัญจรมาประชุมที่หาดใหญ่ทบทวนโครงการดังกล่าว ฉันเคยมีประสบการณ์เข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ  ทั้งในฐานะผู้สังเกตการณ์และในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรง  ฉันจึงเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดและคับแค้นใจของประชาชนที่ถูกแย่งชิงทรัพยากรจากผู้มีอำนาจโดยไม่เป็นธรรม   ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจทำให้ฉันพร้อมที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้เคยมีการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการนี้มาแล้วถึงสองครั้ง  และจบลงด้วยการที่ชาวบ้านล้มเวทีทุกครั้ง  ทั้งนี้เนื่องจากชาวบ้านมีความเชื่อว่าการจัดประชาพิจารณ์ดังกล่าว  จะเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการมากกว่าการรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง   ฉันเองได้ช่วยถ่ายวีดีโอทั้งสองครั้ง  ครั้งนี้เพื่อนจึงโทรมาขอให้ช่วยถ่ายวีดีโอให้อีก  แต่เพราะมีงานที่นัดหมายล่วงหน้าแล้วจึงปฏิเสธ  แต่ตกลงจะให้เพื่อนยืมกล้องไปถ่ายเอง  บังเอิญวันนั้นมีนักพัฒนารุ่นน้องสองคนที่มาช่วยงานอยากไปร่วมชุมนุมด้วย  ฉันจึงตัดสินใจขับรถไปส่งและถือโอกาสเอากล้องวีดีโอให้เพื่อน  ตั้งใจว่า เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจะเดินทางกลับบ้านทันที   เราถึงหาดใหญ่ก่อนเวลานัดหมาย  จึงรับรุ่นพี่อีกคนเพื่อไปกินข้าว  แต่ยังไม่ทันได้กินก็มีโทรศัพท์จากเพื่อนบอกว่า  ตอนนี้ตำรวจตั้งด่านสกัดไม่ให้ชาวบ้านเดินทางเข้ามาในหาดใหญ่  ด้วยความเป็นห่วงพวกเราจึงขับรถไปยังจุดดังกล่าว  แต่เลือกเส้นทางลัดเนื่องจากคาดว่าเส้นทางปกติคงมีตำรวจสกัดอยู่  เมื่อไปได้ราวครึ่งทางเพื่อนโทรมาบอกว่าตำรวจยอมเปิดเส้นทางแล้ว  ชาวบ้านกำลังเดินทางเข้าหาดใหญ่ให้พวกเราไปรอที่ทางเข้าโรงแรมซึ่งนายกฯ และคณะรัฐมนตรีพัก  เรารีบกลับมายังจุดนัดหมาย  ฉันตัดสินใจจอดรถห่างจากจุดนัดหมายราวสองร้อยเมตร  เพราะเห็นว่าเริ่มมีรถยนต์จอดหลายคัน  หากไปด้านหน้าแล้วไม่มีที่ว่างจะต้องขับรถเวียนหาที่จอดทำให้เสียเวลามากขึ้น  เมื่อพวกเราทั้งสี่คนเดินไปถึงก็พบว่ามีตำรวจนับสิบนายใช้แผงเหล็กกั้นปิดเส้นทางเข้าโรงแรม  พวกเราจึงรอดูสถานการณ์อยู่ในบริเวณนั้น กว่าขบวนรถของชาวบ้านจะมาถึงก็เกือบสองทุ่ม  เมื่อเจอแผงกั้นขบวนจึงหยุดรอให้แกนนำชาวบ้านและ นักพัฒนาเจรจากับตำรวจเพื่อขอให้เปิดเส้นทาง  ระหว่างรอการเจรจาชาวบ้านบางส่วนนั่งลงกินข้าว  บ้างก็ทำละหมาด บางส่วนก็ยืนจับกลุ่มติดตามสถานการณ์… Continue reading มองโลกมุมใหม่ผ่านใจตากล้อง

“แสงสว่างกลางวิกฤต” คุณนก

“แสงสว่างกลางวิกฤต” คุณนก ปุณณมา ศิริพันธ์โนน งานเขียนต่อยอดจากการอบรม “เขียน = ค้นพบตัวเอง”   ในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอีกอาทิตย์หนึ่งที่รู้สึกถึงการเข้าใกล้วิกฤตของชีวิต การได้เห็นความเจ็บป่วยของแม่ที่ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง และการซ้ำเติมความเจ็บป่วยด้วยอุบัติเหตุล้มหัวฟาดของแม่ ภาพของแม่ที่ไร้เรี่ยวแรง มึนงง ตอบสนองช้า … มันเป็นภาพที่น่าหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาแม้จะรับรู้ภาวะโรคร้ายที่ปรากฎแต่ด้วยสภาพร่างกายทั่วไปภายนอกที่ดูปกติ มันทำให้เชื่อเสมอว่าแม่ยังไหว ไม่ว่าจะอยู่ในระยะที่ใครๆเค้าว่านี่คือระยะสุดท้ายแล้ว แต่ภาพที่เห็นแม่ยังทานข้าวได้ ยังอยากทานนู่นทานนี่ ยังมีความพยายามดั้นด้นลากจูงพ่อไปตระเวณตามใจปาก มันทำให้มีความหวังและรู้สึกว่าแม่แค่ผู้หญิงไม่มีผม … จากวันนั้นถึงวันนี้สามปีผ่านไป แม่อยู่ในภาวะไม่มีผม สลับกับมีผม และยังคงตระเวณหาของกินที่เห็นในรายการทีวี แต่แล้วสองเดือนที่ผ่านมาภาวะอยากอาหาร หายไป แม่ปวดท้องตลอด ทานได้น้อยลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่ทานเพราะกลัวคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง … สัญญาณบางอย่างปรากฎในใจ ความไม่เที่ยง … ในที่สุดสิ่งที่กลัวก็เป็นจริง โรคร้ายลุกลาม ความใจสู้ของแม่ลดลง แม่ที่อยากทานนู่นทานนี่หายไป เหลือแต่ผู้หญิงที่ผ่ายผอม ไร้เรี่ยวแรง นอนซม แล้วหมอก็ตัดสินใจให้เคมีบำบัดรอบที่สาม ร่างกายไม่พร้อมเหมือนครั้งก่อนๆ เพียงเข็มที่สองก็อยู่ในสภาพทรมาน ต้องกินยาแก้ปวดและยานอนหลับ … แม่เบลอ เชื่องช้า … และในที่สุดก็เกิดเหตุ… Continue reading “แสงสว่างกลางวิกฤต” คุณนก

ของขวัญที่ให้…โดย ครูนิตย์

  ของขวัญที่ให้…โดย ครูนิตย์ ธรรมนนท์ กิจติเวชกุล งานเขียนต่อยอดจากการอบรม “เขียน = ค้นพบตัวเอง”   ในเส้นทางการเดินทางของชีวิต ฉันเคยยึดมั่นธรรมเนียมของการซื้อของฝาก การส่งการ์ดในวาระสำคัญของชีวิต การแลกเปลี่ยนของขวัญกับคนที่เจอะเจอกัน แม้ในหลายปีที่ผ่านมาของขวัญ ของฝากที่เป็นวัตถุจางหายไปทั้งในฐานะของผู้ให้และผู้รับ แต่ฉันเชื่อว่าการมอบของขวัญยังคงมีเสมอในทุกวันของชีวิต ในวันนี้ที่ฉันเดินทางมาถึงวัยกลางคน น่าจะเป็นจุดสำคัญในการทบทวนว่าของขวัญที่ให้มันมีคุณค่าหรือความหมายต่อชีวิตของคนๆหนึ่งและผู้คนที่เกี่ยวข้องด้วยอย่างไร และอะไรคือของขวัญที่คนเล็กๆคนหนึ่งได้นำมาสู่โลกใบนี้ หลายปีก่อนเจอข้าราชการป่าไม้คนหนึ่งเดินมาทักทาย ว่าเป็นรุ่นน้องและจำได้ว่าได้รับของฝากที่ระลึกหลังจากฉันกลับจากญี่ปุ่น เขารู้สึกดีใจ ปลื้มใจมาก ฉันเองก็ปลื้มใจว่าของเล็กน้อยที่นำมาฝากผู้คนหลังเดินทางไกลยังอยู่ในความทรงจำของคนบางคน และนี่คงเป็นคุณค่าหนึ่งของของขวัญ คือการรับรู้ว่าการให้ยังคงมีความหมายในโลกใบนี้ ฉันมักให้ของขวัญกับคนที่พบเจอในช่วงเวลานั้นๆของชีวิต เมื่อถามตัวเองว่า เราหลงลืมผู้คนไปมากมายหรือ ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามีความหมายต่อชีวิตหรือไม่ แล้วมิตรภาพที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร การเก็บรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์ของเราคือการสื่อสารหรือของขวัญที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอหรือ สำหรับบางคนมันอาจเป็นเช่นนั้น น่าแปลกที่ฉันมักหลงลืมผู้คนที่เคยพานพบบนเส้นทางชีวิต แม้หลายคนยังคงอยู่ในความทรงจำ อาจไม่มีของขวัญสม่ำเสมอเมื่อยามไกลกัน แต่ฉันมั่นใจว่า “ฉันไม่ทำร้ายใคร” “ฉันพร้อมรับฟังไม่ว่าอยู่ตรงไหน” ของขวัญหรือของที่ระลึกมอบออกไปมีความหมายเสมอในความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันขณะ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือเมื่อเราอยู่ด้วยกัน  นั่นคือเวลาที่เป็นของขวัญแก่กันที่ยิ่งใหญ่ ของขวัญที่ส่งไปบางชิ้นเพื่อบอกถึงการให้อภัยในทุกสิ่ง ฉันเรียนรู้ที่จะพอใจสิ่งที่ให้ หรือแม้กระทั่งการไม่ให้ก็คือการให้ เรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อสิ่งที่กำหนดไม่ได้ มีความศิโรราบต่อความถือตน ได้บ่มเพาะศรัทธาว่าสิ่งที่ให้ไปมันจะเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ ฉันจะไม่มีวันขาดแคลน และเมื่อเป็นผู้ให้ฉันได้รับยิ่งกว่าใคร นอกจากนั้นฉันยังได้เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญกับการเติบโตและการกลับสู่สมดุล เรียนรู้ที่จะรักและกรุณาต่อตนเอง… Continue reading ของขวัญที่ให้…โดย ครูนิตย์

“สวนโมกข์กลางใจ”  คุณแวว วิภา สุขพรสวรรค์

“สวนโมกข์กลางใจ” คุณแวว วิภา สุขพรสวรรค์ งานเขียนต่อยอดจากบันทึกการอบรม “เขียน = ค้นพบตัวเอง”   ในชีวิตฉันมีสถานที่ที่ชอบและประทับใจอยู่มากมาย แต่คงไม่มีสถานที่แห่งไหนที่จะสะท้อนการเติบโตของตัวฉันในแต่ละช่วงของชีวิตได้ดีเท่าที่แห่งนี้… “สวนโมกขพลาราม” ฉันรู้จักสวนโมกข์ครั้งแรกเมื่อสมัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ฉันรักและเคารพมาก ท่านเห็นว่าการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยยังคับแคบอยู่มาก ด้วยความปรารถนาดีไม่อยากให้ลูกศิษย์เป็นกบในกะลา อาจารย์จึงได้นิมนต์หลวงพี่ประชา เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในฐานะคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่สนใจงานด้านศาสนากับการพัฒนา จำได้ว่าสิ่งที่ท่านกล่าวเป็นสิ่งใหม่และน่าสนใจมาก แต่กบก็ยังเป็นกบ แม้จะมีคนเปิดกะลาให้ได้เห็นท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ก็ยังไม่กล้าที่จะก้าวออกไปเรียนรู้ในทันที เพราะในเวลานั้นยังมีช่องว่างของประสบการณ์และความเข้าใจชีวิตอยู่มาก ยังไม่รู้จักโลกภายนอกมหาวิทยาลัยสักเท่าใด แต่หลวงพี่ก็กรุณามากที่ชวนพวกเราไปเยี่ยมท่านที่สวนโมกข์ อาศัยว่ามีเพื่อนคนหนึ่งที่มีศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาอยู่บ้างได้ชวนโบกรถไปด้วยกัน ฉันจึงได้รู้จักและเยียบยืนบนแผ่นดินธรรมที่ชื่อว่า สวนโมกขพลารามเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อหลายสิบปีก่อน สวนโมกข์เป็นวัดป่าที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ คนที่มานอกจากญาติโยมรอบวัดแล้วก็มีแต่ลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่ศรัทธาท่านพุทธทาส บรรยากาศภายในวัดจึงค่อนข้างเงียบสงบมาก มีเพียงช่วงเวลาทำวัตรเช้าเย็นที่พระภิกษุ แม่ชี และผู้มาพักได้มาสวดมนต์ร่วมกันที่อุโบสถกลางแจ้งที่เรียกว่า ลานหินโค้ง นอกจากนั้นทุกคนจะแยกย้ายกันทำกิจและศึกษาธรรมะในกุฏิหรือที่พัก ในเวลาที่พวกเราเดินขึ้นเขาพุทธทองก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีลู่ลมและเสียงหรีดหริ่งเรไรระงมตลอดเส้นทาง ทำให้รู้สึกเย็นเยียบและวังเวงพิกล ภาพปริศนาธรรมบางภาพที่อยู่ภายในโรงมหรสพทางวิญญานก็ดูเข้าใจยากและน่ากลัวจนไม่กล้าเดินคนเดียว ถึงกระนั้นฉันก็ยังชอบสวนโมกข์เพราะความสงบร่มรื่น ไม่มีโบสถ์วิหารอลังการเหมือนวัดทั่วไป ได้สวดมนต์แปลเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้ฟังเทศน์สอนธรรมด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ได้นั่งเงียบๆอยู่กับตัวเองริมสระนาฬิเกร์ ได้กินข้าวก้นบาตร แม้จะรู้จักสวนโมกข์เพียงผิวเผินในระยะเวลาสั้นๆ แต่โดยรวมฉันประทับใจและรู้สึกดีกับสถานที่แห่งนี้ ผ่านไปหลายปีฉันได้กลับมาสวนโมกข์อีกครั้งในฐานะผู้เข้าอบรมอานาปานสติ การอบรมในครั้งนี้จัดให้กับนักพัฒนารุ่นใหม่ เพื่อให้นำอานาปานสติมาพัฒนาตนเองและเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ในขณะนั้นฉันเพิ่งทำงานได้ไม่นานนัก กำลังสนุกกับการทำงานในพื้นที่และมีความเชื่อมั่นว่าตนเองมีความสามารถที่จะแก้ปัญหาความทุกข์ยากของคนที่ด้อยโอกาสได้ ตอนนั้นมีทั้งความหลงตัวเอง… Continue reading “สวนโมกข์กลางใจ”  คุณแวว วิภา สุขพรสวรรค์

” ความรักของดาวลูกไก่ ” คุณนก ปุณณมา ศิริพันธ์โนน

” ความรักของดาวลูกไก่ “ คุณนก ปุณณมา ศิริพันธ์โนน / งานเขียนต่อยอดการอบรมเขียน = ค้นพบตัวเอง รับวันแห่งความรัก   ในบรรยากาศของวันแห่งความรักที่มีกลิ่นไอความรักอบอวลไปทั่วโลกออนไลน์ มีความสุขสดชื่นในความรักที่มอบแก่กันและกัน ในบรรยากาศนี้ทำให้ฉันย้อนระลึกถึงเรื่องราวความรักในตำนานแห่งดวงดาวเรื่องหนึ่งที่ได้ยินได้ฟังมาแต่เด็กเรื่องราวของดาวลูกไก่นั่นเอง …เรื่องราวของตำนานนี้เป็นความรักในรูปแบบที่แตกต่างจากความรักที่ผู้คนให้ความสนใจในวันแห่งความรักเป็นความรักที่พร้อมจะให้และสละออก เพื่อให้คนที่รักมีความสุข เป็นความรักที่ไม่ต้องการการครอบครองลองมาย้อนเรื่องราวความรักของดาวลูกไก่กันอีกสักครั้งในแบบฉบับที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง ในตำนานเล่าว่ามีตายายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ชายป่า ตายายเลี้ยงแม่ไก่ไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งต่อมาออกไข่และฟักออกมาเป็นลูกไก่ตัวน้อย 7 ตัว ตายายจึงคอยเลี้ยงดูให้อาหารแม่ไก่และลูกๆด้วยความเมตตา ในคราวหนึ่งมีเหยี่ยวบินโฉบมา หมายจะจับเอามาไก่และลูกไก่ไปเป็นอาหาร ตายายมาเห็นเข้าจึงคว้าไม้ไปไล่เหยี่ยว ช่วยให้แม่ไก่และลูกปลอดภัย แม่ไก่จึงยิ่งซาบซึ้งใจและสำนึกในบุญคุญของตายายเป็นอย่างมาก … อยู่มาวันหนึ่งมีพระธุดงค์องค์หนึ่งมาปักกลดอยู่ที่เชิงเขา ตายายเห็นว่าในละแวกนั้นมีเพียงบ้านของตายาย จึงเกิดความเป็นห่วงว่าพระธุดงค์จะไม่มีใครถวายภัตตาหาร แต่เมื่อค้นดูเสบียงอาหารในครัว ก็เห็นว่าไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พืชผักที่ปลูกไว้ก็เหี่ยวแห้งเพราะอากาศแล้ง ตายายจึงปรึกษากันว่าคงจะต้องฆ่าแม่ไก่มาเพื่อปรุงอาหารถวายพระ แม่ไก่บังเอิญมาได้ยินเรื่องราวจึงตัดสินที่จะยอมสละชีวิตตน เพื่อตอบแทนบุญคุญตายายที่ชุบเลี้ยงและปกป้องมาตลอด แม่ไก่จึงเรียกลูกทั้งเจ็ดมาล่ำลาสั่งเสียให้ลูกๆรักใคร่ปรองดอง ดูแลกันและกัน พอรุ่งเช้าตาจึงเชือดแม่ไก่เพื่อให้ยายปรุงอาหาร ขณะที่ยายกำลังก่อเตาไฟเพื่อปรุงอาหาร เจ้าลูกไก่ทั้งเจ็ดต่างวิ่งเข้ามาดูร่างอันไร้วิญญาณของแม่เป็นครั้งสุดท้าย ยิ่งได้เห็น ลูกไก่ทั้งเจ็ดยิ่งเศร้าโศกเสียใจร่ำไห้คิดถึงแม่ที่จากไปน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ลูกไก่ตัวน้อยตัวหนึ่งตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วหันไปบอกพี่ๆว่า ฉันทนอยู่ต่อไปโดยไม่มีแม่ไม่ได้ ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หากขาดแม่ที่ฉันรัก ฉันจะโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ไป … แต่แล้วเจ้าพี่ใหญ่ก็เข้าห้ามและปลอบใจน้องน้อยว่า น้องเอ่ย… Continue reading ” ความรักของดาวลูกไก่ ” คุณนก ปุณณมา ศิริพันธ์โนน

บทเรียนและประสบการณ์

รายนามผู้ผ่านการอบรมกึ่งออนไลน์ เขียน = มหัศจรรย์ชีวิต ประจำ ปี 2557 ร่วมกับศูนย์จิตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล   ธนา (เต๋อ) / อาจารย์ ณัชชา (กระติบ) / ราชการ นักบำบัด ธรรมนนท์ (นิตย์) / กระบวนกร ปุณณมา (นก) / อาจารย์ มัณฑนา (น้อง) / อาจารย์ น้ำทิพย์ (ทิพย์) / อิสระ ฐิติพร นามปากกา ไผ่ / พนักงานบริษัท สุธิศา (นุ่น) / นักวิชาการการศึกษา สิรินันท์ (กุ๊กไก่) / อาจารย์ ชญานิษฐ์ นามปากกา ช่วงก้าว / พยาบาล ปุญญิสา นามปากกา… Continue reading บทเรียนและประสบการณ์

เสียงจากใจตะลิงปลิง – สิรินันท์ นิลวรางกูร (กุ๊กไก่)

ชื่อเรื่อง เสียงจากใจตะลิงปลิง สิรินันท์ นิลวรางกูร (กุ๊กไก่) งานเขียนต่อยอดจากบันทึกอบรม เขียน=มหัศจรรย์ชีวิต   “เรื่องแค่นี้ทำไมต้องตะคอกใส่กันด้วย ฉันพยายามทำดีกับเธอทุกอย่าง ยอมเธอทุกอย่าง ไม่เคยอารมณ์เสียใส่ แล้วทำไมต้องตะคอกใส่กันด้วย” เสียงแห่งความน้อยใจและเสียใจตะโกนก้องอยู่ในหัวหลังจากที่โดนน้องตะคอกใส่เรื่องทิ้งกะทิที่เหลือจากกล้วยเชื่อม แต่ก็ได้แต่ส่งเสียงตะโกนอยู่ข้างใน ไม่กล้าที่จะตะโกนออกมาหรือตะคอกกลับ พยายามทำสีหน้าให้ปกติ ทั้งๆ ที่กำลังจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว รีบวางของและแอบเข้าไปร้องไห้คนเดียวในห้อง เหมือนเช่นทุกครั้งที่โดนน้องหรือแม่ดุหรือทำอารมณ์เสียใส่โดยที่เราไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที นั่งร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวรู้สึกเจ็บอยู่ในใจว่าทำไมเราตอบโต้ไม่ได้ ทำไมต้องทำกับเราแบบนี้ ทำไมเขาแสดงอารมณ์ใส่เราได้ แต่ทำไมเราแสดงอารมณ์ใส่เขาไม่ได้ ทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายห่วงเขา ทำอะไรต่อมิอะไรให้เขา ในขณะที่เขาไม่ได้คิดถึงความต้องการของฉันเลย ฉันอยากจะออกไปจากที่นี่ ไม่อยากอยู่ ฉันอยากจะไปอยู่ในที่ที่ฉันสามารถทำตามใจฉันเองได้บ้าง ฉันต้องการอิสรภาพ หลังจากนั่งร้องไห้อยู่สักพักใหญ่จนความอัดอั้นข้างในบรรเทาไปบ้างแล้ว เจ้าหลานชายตัวเล็กมาร้องเรียกหน้าห้อง “ดูสิ ห่วงมาผูกคอแล้ว” แล้วก็เดินออกไปหาหลาน ไอ้ตัวเล็กชวนเดินออกไปที่สนามหน้าบ้าน ให้เรานั่งมองเขาเล่น เขาหยิบกิ่งไม้มากิ่งหนึ่ง สมมุติว่าเป็นดาบ ไล่ฟันต้นไม้พร้อมส่งเสียงฉับๆๆ เควี้ยวๆๆ ไปตามเรื่อง แล้วก็มาที่ต้นตะลิงปลิง เอาดาบฟันต้นตะลิงปลิงด้วยความเมามัน ฟันลูกตะลิงปลิงลงมาแล้วก็ฟันๆๆๆๆ ลูกตะลิงปลิง มองดูหลานเล่นแล้วก็คิดในใจว่า “ต้นตะลิงปลิงจะเจ็บไหมนะ” เมื่อมีโอกาสจีงเดินไปหาต้นตะลิงปลิง เอามือลูบลำต้นเขาเบาๆ พร้อมกับถามเขาในใจอย่างอ่อนโยนว่า “เจ็บไหม”… Continue reading เสียงจากใจตะลิงปลิง – สิรินันท์ นิลวรางกูร (กุ๊กไก่)