สามารถเปิดอ่านผลงานได้ โดยการคลิกที่ภาพและลิงก์ด้านล่างนี้ โดยอ่านรายละเอียดการประกวดได้ที่ https://www.dhammaliterary.org/ประกวดงานเขียนเยาวชน/
Category: งานเขียนนักศึกษา
บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๗
“มีกล่องแต่ละด้านมีความแตกต่างกัน -ด้านแรกที่ทุกคนเห็นคือสีเหลือง รูปยิ้มแทนมุมทั่วไปที่ทุกคนเห็น -ด้านบนสีเขียวต้นไม้ แทนเรื่องความเป็นตัวเอง นิสัย -ด้านสีเทาดำ แทนปัญหาและข้อเสียของตัวหนู -ส่วนด้านที่ไม่เห็นแทนด้านที่คนสนิทที่เข้าใกล้ถึงจะเห็นไม่ใช่มองมุมเดียว คนทั่วไปก็เห็นสามด้านปกติ ที่เลือกภาพนี้แทนตัวเองเพราะจากการเรียนทำให้ได้รู้ว่าจริงๆ คนเรามีหลายมุมถึงแม้บางคนเรามองภายนอกเป็นแบบนี้แต่จริงๆตัวตนอาจเป็นคนละแบบกับสิ่งที่แสดงออกมา หลังจากที่เรียนและได้วิเคราะห์แล้วก็รู้ตัวเองมากขึ้นว่าเราเป็นคนยังไง และมีข้อเสียที่ต้องแก้ตรงไหน ที่รู้สึกว่าตรงมากคือเรื่องหมีที่แทนความเป็นเรา และก็รู้ข้อเสียอีกอย่างที่ไม่เคยมองเห็นตัวเองคือรอบครอบจนบางครั้งเป็นการลังเลไม่แน่นอน ตัดสินใจช้าจนพลาด บางทีก็ตีกรอบให้ตัวเองมากเกินไป ไม่ชอบให้ใครมาล้ำเส้น ยึดมั่นความคิดตนเองวิชานี้ช่วยให้รู้จุดบกพร่องตัวเองเพื่อจะนำมาแก้ไขและแสดงความเป็นตัวเองออกมาให้คนอื่นเห็นมากขึ้นในด้านดีและวิชานี้ก็ยังเป็นวิชาที่ผ่อนคลาย แต่ได้ประโยชน์” / น.ส.สุทธิดา ประกอบธรรม ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา “ความจริงแล้ว คนเรามีทั้งส่วนดีและไม่ดีในตัวเอง แต่เพราะเราแบกความคาดหวังมากเกินไป ทำให้เราเครียดพอทำผิดไม่กล้ายอมรับเพราะกลัวสิ่งดีภายนอกจะหายไป และเป็นเพราะเราเองด้วยที่กดดันตัวเอง ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง คิดว่าตัวเองต้องดี มันก็เลยสวนกับความต้องการ ลึกๆในใจ หลังจากที่ได้ระลึกถึงเหตุการณ์แล้ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองใหม่ คือในเรื่องของการลงลึกถึงความรู้สึกภายใน และสัมผัสได้ถึงบุคลิกภายนอก ตัวเองอาจดูไม่มีอะไร แต่ไม่มีใครรู้ว่ายังโหยหาความรักความสบาย การมองเห็นหัวใจของตัวเอง ที่ทำให้เข้าใจตัวเองมากกว่าเดิม อยากบอกกับตัวเองว่าควรลด เลิก ละ ความอยากและความต้องการลงบ้าง เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่มีความสุขโดยไม่ต้องมีใคร นอกจากตัวเราเอง ในช่วงที่เริ่มบันทึกและเรียนรู้ แทบจะไม่รู้จักตัวเอง… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๗
บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๖
“สำหรับดิฉันคิดว่าตัวดิฉันเป็นคนที่อารมณ์ร้อนง่าย ขี้โมโหง่าย ขี้น้อยใจง่ายแต่ในบางมุมก็มีที่อ่อนไหวอยู่ ซึ่งคิดว่ามีคนที่จะเข้าใจยากในตัวดิฉัน บางครั้งก็คิดว่าเราเป็นคนที่เข้ากับผู้อื่นยากเพราะเป็นคนไม่ค่อยพูดหรือจะพูดกับคนที่สนิทเท่านั้น ทำให้เป็นคนที่มีเพื่อนน้อย อาจมีบางครั้งที่จะต้องไปไหนมาไหนคนเดียวก็มีเหงาบ้าง แต่ก็ยอมรับได้เพราะคิดว่ายังไงชีวิตนี้ก็ต้องมีบางมุมที่ทุกคนต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จะพึ่งพาคนอื่นตลอดไปก็ไม่ใช่เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ในของตัวเอง และดิฉันคิดว่าทุกคนบนโลกล้วนเห็นแก่ตัวอยู่ที่มากหรือน้อยรวมถึงตัวดิฉันเองด้วย มีการแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้อยู่ได้ในสังคมซึ่งต่างจากสังคมเมื่อสมัยยังเด็กเป็นสังคมที่บริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย เพราะทุกคนมีความจริงใจต่อกัน ยิ่งโตขึ้นดิฉันขึ้นเข้าใจในชีวิตมากยิ่งขึ้นอาจมีบางครั้งที่ชีวิตเราอยู่ในจุดสูงสุดวันนี้เรามีความสุขมากแต่พรุ่งนี้เราก็อาจจะทุกข์มากได้เช่นกันทุกคนล้วนต้องเจอ แต่ถ้ามองชีวิตเรากับบุคคลอื่นที่ไม่มีโอกาสเหมือนเรา ทำให้ดิฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้เกิดมาในชีวิตแบบนี้แม้อาจจะไม่สมบูรณ์ทุกอย่างแต่ก็ไม่ลำบาก… “ดิฉันคิดว่าชีวิตเปรียบเสมือนนิยามเล่มนึง แม้จุดเริ่มต้นของนิยายไม่สามารถกำหนดเองได้ ให้สมบูรณ์แบบ อาจไม่ได้เกิดมามีพร้อม ทั้งชาติกระกูล ฐานะ หรือมีแบบใครเขาทุกอย่างเราไม่สามารถกำหนดเรื่องราวลงไปได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาและวาสนา หน้าปกนิยายเป็นสิ่งชักชวนให้หลงใหลชวนให้คนอ่าน แต่ภายในเนื้อหาชวนให้คนติดตามเรื่องราวเนื้อเรื่องภายในเล่มเปรียบเสมือนชีวิตเราสามารถกำหนดเองได้ให้มันดีหรือร้ายอยู่ที่เราเลือกกระทำ…ในนิยายนั้นมีหลายบทแต่ละบทก็อาจแตกต่างกันออกไปเป็นประสบการณ์ชีวิต บางครั้งอาจถูกกฎระเบียบอยู่ในกรอบไปซะทุกอย่างและในบางครั้งชีวิตก็อาจมีนอกกรอบบ้าง ผิดพลาดไปบ้างแต่ดิฉันเชื่อว่าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ในบทถัดไปและทิ้งบทก่อนหน้าที่ไม่ดีไว้เป็นเพียงความทรงจำ เป็นเพียงบทเรียนให้เราได้เรียนรู้และแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด ดิฉันเชื่อว่าทุกคนเกิดมานั้นไม่เคยไม่มีใครทำผิด แต่อยู่ที่ทำผิดแล้วจะปรับปรุงแก้ไขไหมจะปล่อยให้นิยายดำเนินเรื่องต่อไปแบบผิดๆไหม และในบางครั้งโอกาสก็ไม่ได้มีเสมอไปสำหรับความผิดพลาด ดังนั้นก่อนที่จะเขียนนิยายลงไปนั้นควรคิดให้ดีซะก่อน ดีกว่าต้องใช้ลิควิดลบน้ำหมึก เพราะมันทำให้กระดาษเปื้อนไม่สวยงาม หรือถึงขั้นต้องฉีดกระดาดออก และในชีวิตจริงคงไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่ช่วยลบความผิดพลาดได้อย่างง่ายดายเหมือนในนิยาย ดังนั้นก่อนที่จะทำอะไรควรไตร่ตรองและคิดให้ดีก่อน ไม่ใช่ว่าชีวิตนั้นผิดพลาดไม่ได้เลย ผิดพลาดได้แต่คิดว่าไม่ควรบ่อยจนเกินไป ควรนำความผิดพลาดในครั้งก่อนมาเป็นบทเรียนให้เขียนนิยายต่อไปได้อย่างสวยงามจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลบบ่อยๆ…” / นางสาวลลิตา จุลนพ มหาวิทยาลัยบูรพา ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา “อีกมุมหนึ่งของชีวิตจริงข้าพเจ้า คือ ตอนที่อาจารย์วิทยากรให้แก้ปมโดยให้กลับมาเป็นวงกลมแบบเดิมนั้น ข้าพเจ้าได้ค้นพบตัวเองว่า เมื่ออยู่กับคนหมู่มาก และเมื่อมีคนเสนอ หรือมีผู้นำ ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะรับฟังและทำตาม… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๖
บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๕
“เมื่อผมได้มาลองมองย้อนกลับไปจากจุดนี้ตอนนี้ ก็ทำให้เห็นตัวเองทั้งหมด ว่าจริงๆตัวผม รู้สึกไม่เต็มที่กับกิจกรรมไม่ใช่จากอาจารย์ทั้งสองท่านหรือจากเพื่อนในห้อง แต่เป็นตัวผมเองที่ไม่พร้อมจะเต็มร้อยกับทุกเรื่องในตอนนี้ เพราะผมเพิ่งเลิกกับแฟนไป ทำให้ผมจิตใจไม่สงบ ตั้งใจกับอะไรซักอย่างไม่ได้ รู้สึกเคว้ง การกระทำของผมที่ทำเป็นปกติในห้องนั้น ผมมองย้อนว่ามันคือการพยายามที่จะปกปิดตัวเอง แกล้งทำเป็นว่าปกติแล้วโอเค ในการทำกิจกรรมผมก็เผลอ ปล่อยอารมณ์โกรธที่อึดอัดออกมาใส่เพื่อน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย ผมคิดว่าในบางครั้งผมก็คงจะเป็นผู้นำแบบกระทิง ที่ขี้โมโหง่าย หงุดหงิดง่ายตอนที่ผมกระทำมันควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อทำไปแล้ว มามองย้อนดูทีหลังแล้วผมคิดว่าไม่โอเค มันไม่ดีเลย ทำให้ผมรู้ตัวว่าตอนนี้ควรจะควบคุมและอารมณ์บางอย่างก็ไม่ควรเก็บไว้จนทำให้ ข้างในมันรู้สึกอึดอัด อะไรที่ปล่อยได้ก็ควรจะปล่อย อะไรที่เก็บได้ก็ควรจะเก็บ คือตัวของผมต้องรู้ตัว รู้สติ ที่จะควบคุมตัวเอง โดยไม่บังคับตัวเองเกินไปและไม่ปล่อยตัวเองจนเกินไป” / นายอิสระ สมทรง มหาวิทยาลัยบูรพา “จากที่ดิฉันได้เข้าร่วมในกระบวนการเรียนการสอนในรายวิชาหลักและทฤษฎีการสื่อความหมายด้วยภาพ ได้มองเห็นตัวเองหลายด้าน ทั้งด้านที่ดิฉันรู้คนอื่นก็รู้คือดิฉันเป็นที่สดใส ร่าเริง มีความสุขอยู่เสมอ ด้านที่ดิฉันรู้แต่คนอื่นไม่เคยรู้คือฉันเป็นคนที่คิดมาก คิดทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในรอบตัวดิฉันไม่ว่าเป็นเรื่องของฉันหรือเรื่องของคนอื่นดิฉันจะเก็บมาคิดแล้ววางแผนแก้ไขสิ่งนั้นแสมอ โดยที่คนอื่นไม่ค่อยรับรู้ว่าดิฉันคิดหรือเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะดิฉันจะมีพฤติกรรมที่ปกติอยู่เสมอ ด้านที่ดิฉันไม่รู้แต่คนอื่นรู้คือดิฉันจะมีอาการมือสั่นโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอโดยดิฉันไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับร่างกายของฉัน คนอื่นมักจะบอกว่าดิฉันตื่นเต้น หรือกลัวอะไรบ้างอย่างอยู่หรือป่าว แต่สำหรับดิฉันแล้วดิฉันว่าฉันไม่ได้ตื่นเต้นหรือหลัวอะไร แต่ไม่รู้ทำไมดิฉันมีอาการมือสั่นฉันยังตอบตัวเองไม่ได้สักทีกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น ด้านดิฉันไม่รู้และคนอื่นไม่รู้ คือพฤติกรรมการทำตัวเฉยๆเมื่อมีเหตุการณ์ที่น่ารังเกียจเกิดขึ้น ดิฉันว่าเป็นพฤติกรรมที่จะบอกว่าฉันไม่ต้องการที่จะรับรู้สิ่งนั้น และดิฉันได้รู้จักตนเองหลายมุมรวมถึงในบ้างมุมที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ใช่ดิฉันหรือป่าว ดิฉันเป็นแบบนี้จริงเหรอ… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๕
บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๔
“จากการทบทวนตัวเอง คิดว่าตัวผมเองไม่มีความกล้า ความคิด ความเป็นตัวของตัวเองมากพอเนื่องจากการติดเพื่อน ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบทำอะไร อยากเป็นอะไร ได้แต่ทำตามคนโน้นที คนนี้ทีตามเพื่อนไป ไม่กล้าที่จะลอง กลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น และการที่ของขวัญคือแม่กับน้อง ยิ่งทำให้รู้ชัดเจนขึ้นว่า ไม่กล้าพอที่จะอยู่คนเดียว กลัวการต้องเผชิญสิ่งต่างๆคนเดียว ในหลายๆครั้งที่ไปเรียนงานที่อาจารย์สั่งให้ทำมันเกี่ยวกับตัวเราเอง ผมกลับไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร เพราะว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบรึอยากทำอะไรจริงๆจังๆ ได้แต่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมาตลอด ทั้งที่ก็คิดได้ว่าตัวเองขาดสิ่งนี้ อยากจะรู้ว่าตัวเองชอบ มีความสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่มันก็ติดตรงที่ไม่กล้า ไม่ชอบทำอะไรคนเดียวเลยไม่ได้เริ่มทำแล้วก็กลับมาวนอยู่ที่เดิม ปัญหานี้แม่ผมก็ทราบจึงได้คอยช่วยหางานต่าง ๆให้ทำ ซึ่งมันสามารถช่วยได้บ้าง ถึงแม้มันจะยังไม่ค้นพบว่าชอบอะไร อยากทำอะไร แต่มันก็ยังดีที่ได้ทำสิ่งอื่นนอกจากนั่งเล่นเกมส์ ปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆอย่างไร้ประโยชน์ ผลลพลอยได้อีกอย่างคือทำให้แม่สบายใจมากขึ้น ไม่กังวลแบบเมื่อก่อนว่าโตขึ้นลูกชายจะอยู่ยังไง ใช้ชีวิตยังไงเพราะว่าวันๆหนึ่งไม่ทำอะไรนอกจากเล่นเกมส์กับเที่ยวเล่น ในการทำงานที่แม่หามาให้ทำมันช่วยให้การความคิดโตเป็นผุ้ใหญ่มากขึ้น ปัญหาเดิมความกลัวโน่น กลัวนี่เวลาจะเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ น้อยลง กล้าคิด กล้าตัดสินใจมากขึ้น จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรืออยากทำอะไร แต่ผมมั่นใจว่าสามารถทำสิ่งต่าง ๆได้มากกว่าเดิมเนื่องจากได้ทำงานหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ลองทำสิ่งต่าง ๆ ถึงแม้จะไม่นานแต่มันก็ยังจำได้อยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานมันทำให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เปรียบตัวเองเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถนัดรับคำสั่งมาทำมากกว่าการที่จะคิดและลงมือทำเอง หรือทำตามบุคคลรอบข้าง ตั้งแต่เด็กไดแต่ลองทำตามพี่ ๆ เพื่อน ๆเห็นเค้าทำกันเราก็ลองทำตาม… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๔
บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๓
“ผมได้มองเห็นหลายๆมุมในตัวเองไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง ผมเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่ผมก็ได้เห็นอีกมุมหนึ่ง ในด้านที่ผมใจร้อนนี้ทำให้ผมเป็นคนจริงใจมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ คิดอะไรก็สามารถลงมือทำได้โดยเร็ว ไม่ต้องรอเวลา ผมแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่แข็งกร้าวลดลงก็จะสามารถทำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้นโดยเป็นสิ่งที่ดีที่อยู่ในพื้นฐานของคำว่า “อารมณ์ร้อน” ปกติผมคิดว่าผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงเลยคิดว่าสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ข้างในถ้าเราจะสื่อสารออกมาให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้นั้นเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นจุดอ่อน แต่มันกลับทำให้ผมรู้จักคิดสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตแม้ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดแค่เราถ่ายทอดมันออกไปจากความรู้สึก ผมได้มองเห็นศักยภาพในตัวเองในด้านต่างๆเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องค้นหาแค่ดึงสิ่งที่เป็นอยู่ออกมาให้ได้ การมีสติรอบๆตัว การสังเกตุคนรอบข้าง เมื่อก่อนผมไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ เพราะความกลัว เกิดจากการที่ผมไม่รู้จักตัวเองว่าศักยภาพเรามีเท่าไหร่ ด้านไหนที่เราสามารถนำมาใช้งานได้ ด้านไหนไม่ใช่ของเรา ผมคิดว่าถ้าต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกในตอนนี้ผมคิดว่าผมพร้อมแล้วกับสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ได้พูดว่าความกลัวผมจะลดลง แต่ผมสามารถนำศักยภาพที่ผมมีอยู่ ในการรับมือกับสิ่งเหล่านั้น” / นายกิตติธัช มิตรดี มหาวิทยาลัยบูรพา “จากการบันทึกทำให้รู้ว่าตัวเอง มีข้อผิดพลาดตรงที่ไม่ยอมฟังความคิดเห็น ความรู้สึกของคนอื่นๆ คิดถึงแต่ความรู้สึกตนเอง พอมีปัญหาถึงค่อยกลับมาคิดว่าทบทวน บางเหตุการณ์ยังดีที่มีเวลากลับไปแก้ไข แต่บางเหตุการณ์อาจไม่มีโอกาสเลยก็ได้ และหลังจากที่ได้เรียนวิชานี้ทำให้ ได้สงบ ได้เปิดใจ ได้ฟัง ได้พูด เหมือนเดินออกมาจากโลกของตัวเอง ได้ทิ้งความรู้สึกของตัวเองออกไปเดินออกมาฟังความคิด ความรู้สึกต่างๆ มีเวลาทบทวนตัวเองมากขึ้นว่าเรา ทำอะไร รู้สึกอะไร อะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคในการทำสิ่งนั้นๆให้สำเร็จ รวมถึงเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการมองคน ว่าควรเปิดใจทำความรู้จักเค้าให้ดีก่อน ถึงค่อยตัดสินว่าเค้าเป็นคนดีหรือไม่ ได้รู้ว่าในข้อดีก็ล้วนมีข้อเสีย ในข้อเสียก็ยังมีสิ่งดีๆ รู้จักการคิดในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้นได้ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่วัยเด็กจนปัจจุบัน นึกถึงเรื่องราวดีๆ นึกถึงคนที่ตอนนี้เราอาจจะลืมเค้าไปแล้วทั้งๆที่แต่ก่อนสนิทกันมาก ได้ทำให้เค้าใจตนเองมากขึ้น ผ่านการคิดและวิเคราะห์ คนที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำอะไรดีๆก็คือ… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๓
บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๒
“ทั้งหมดนั้นเปรียบเหมือนคนวัยชราที่เวลาเราคุยกับเขา เขาก็จะเล่าความหลังให้เราฟัง ถือว่าเป็นความสุขจากประสบการณ์เราจริง ที่ทำให้เราจดจำหลายสิ่งหลายอย่าง ผมชอบมากเลยเวลาคุยกับปู่ของผมถึงอาจจะเล่าเรื่องเดิมๆแต่มันคือความประทับใจในอดีต แต่ประโยชน์ของการทบทวนก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ ยิ่งทบทวนมากเราก็ยิ่งจดจำ มีประสบการณ์และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างมีสติ รู้จักตัวตนของตนเอง รู้ข้อดี ข้อเสีย ข้อผิดพลาดต่างๆ ดังเช่นสุภาษิตที่ว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” ดังนั้นเราควรทบทวนชีวิตตัวเอง เพียงแค่เสียสละเวลาเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีต่อจากนี้ไปผมหวังว่าคงนำสิ่งที่ได้ทบทวนเรื่องดังกล่าวที่ผ่านมานั้นมาปรับปรุง แก้ไขให้ดีกว่าแต่ก่อนถึงจะได้ไม่มากก็ตาม แต่พยายามทำให้มันดี เพื่อวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป กับการใช้ชีวิตที่ดีที่มีอยู่ ให้รู้คุณค่าของการทบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกอย่างคงฝังใจไปอีกนานกับเรื่องราวที่น่าวุ่นวายหรือที่เรียกว่า “วีรกรรม” ที่ทำไปในแต่ละสถานการณ์ที่ทำให้คนเขาจดจำเราได้ดี สิ่งนี้ผมคงตั้งชื่อให้ว่า.. ประสบการณ์เดิม ที่เพิ่มเติมประสบการณ์ใหม่ ให้ตัวเองเรียนรู้ได้มากขึ้น จากสิ่งเดิมๆคงไม่มีอะไรมากเกี่ยวกับสิ่งๆหนึ่งที่ คิดถึงและจดจำมันตลอดไป ( ประสบการณ์ที่เรียกว่า “เพื่อน”) ขอบคุณอาจารย์และวิทยากรที่ทำให้ผมได้ประสบการณ์ใหม่ๆเพิ่มจากประสบการณ์เดิมที่มีอยู่แล้วและทำให้ผมได้ใช้เวลาว่างอยู่กับตัวเองในการทบทวนตัวเองอย่างลึกซึ้งและมีเหตุผล” _นายพงศกร ศุภกิจจานุสรณ์ สาขาเทคโนโลยีการศึกษา “จากการบันทึกแล้วก็การทำกิจกรรมร่วมกันในห้อง หนูยังคิดว่าความคิดของหนูเหมือนคนยังไม่โต ยังมีการกระทำ ความคิดที่เป็นเด็ก ยังคิดมาก คิดอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่เสมอ แต่มันก็ทำให้หนูได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าตัวเองเป็นคนยังไง พอได้คิดทบทวนเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา มีหลายเรื่องราวที่เราสามารถผ่านมันมาได้ ทั้งเรื่องที่เป็นทุกข์ เรื่องที่มีความสุข เรื่องตลกขบขัน เราก็ผ่านมันมาได้ อย่างวันนี้พอหมดคืนนี้ไป วันนี้ก็กลายเป็นแค่อดีตของเรา ในทุกวันเราควรหาอะไรทำ… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๒
บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๑
“จากบันทึกแรก ผมได้เห็นว่าตัวเองมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเริ่มมีความคิดขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตัวเองเป็นคนที่ไม่ค่อยจะตั้งใจเรียนก็เริ่มที่จะสนใจเรียน สนใจอนาคต สนใจครอบครัวมากขึ้น ทำให้ผมเข้าใจว่าผมต้องมีการพัฒนาตัวเองต่อไปขึ้นเรื่อยๆบ้างครั้งอาจจะมีเหนื่อยมีท้อแต่เมื่อลองมองคนที่ช่วยผลักดันเรามาถึงตอนนี้คงเหนื่อยกว่าที่เราเป็นตอนนี้ ต่อจากนี้ผมก็จะพยายามพัฒนาตัวเองให้ได้ทำงานอย่างที่ต้องการ การเรียนรู้ในห้อง ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบสังเกตผู้อื่นและใส่ใจผู้อื่น แต่ตัวผมเองเป็นคนที่ชอบพูดไม่คิดพูดไปแล้วจะมาคิดทีหลังว่าจะรู้สึกอย่างไรซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าที่ผมพูดไปนั้นทำให้ผู้ฟังโกรธหรือคิดอะไรหรือเปล่าแต่เมื่อผมพูดไปแล้วผมจะนิ่งแล้วมาคิดว่าไม่น่าพูดไปเลย อย่างเช่นตอนกิจกรรมจับมือเพื่อนแล้วให้ทำเป็นวงกลมมีเพื่อนจับมือผิดแล้วผมดันไปเผลอพูดว่าทำไมจับมือข้างเดียวกัน ผมรู้สึกผิดมากที่ทำให้เพื่อนรู้สึกแย่ หลังจากกิจกรรมนี้ทำให้ผมรู้ตัวเองว่าให้คิดก่อนที่จะพูดอะไรออกไปว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรและกิจกรรมสี่ทิศทำให้รู้ว่าผมเป็นคนที่แคร์คนอื่น ไม่มีความเป็นผู้นำ และขี้โมโห ผมจึงตั้งใจที่จะพัฒนาตัวเองในสิ่งที่ตัวเองขาดไปให้ได้ สิ่งที่ผมยกตัวอย่างนั่นคือ “เปลวเทียน” ซึ่งไฟก็เปรียบได้เหมือนกับอารมณ์ของผมที่เป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้โมโห และเมื่อโมโหจะเป็นคนที่พูดอะไรตรงไปตรงมาไม่คิดถึงผลเสีย และเทียนก็คือตัวผมที่คอยประคับประครองให้ไฟนั้นอยู่ในขอบเขตไม่ลุกลามไปไหม้สิ่งของเสียหาย สิ่งที่ผมคิดว่าที่ผมเป็น เปลวเทียน เพราะว่าถ้าผมเป็นไฟอย่างเดียวก็อาจจะทำความเสียหายได้มากกว่าที่ให้ประโยชน์กับผู้อื่นก็เหมือนกับไม่มีเทียนที่คอยให้ไฟอยู่ในขอบเขตของเทียน และถ้าผมเป็นเทียนอย่างเดียว ผมก็เหมือนดั่งเทียนที่ไม่มีไฟที่ไม่สามารถให้แสงสว่างได้ในยามค่ำคืน เป็นเทียนที่ต้องคอยให้คนมาจุดไฟเพื่อสร้างประโยชน์ เปลวเทียนก็เหมือนผมมีสองสิ่งนี้อยู่ในตัว จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ถ้าผมขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปผมจะเป็นแบบเหตุการณ์ที่ผมเคยพบเจอ…” / นายโชติวิชญ์ ถนอมศรีเดชชัย นักศึกษา ม.บูรพา (เทคโนโลยีการศึกษา) “สิ่งที่เราเห็นตัวเราในกระจกนั้น ข้าพเจ้าว่ามันคือสิ่งที่ตัวเราอยากให้เป็นหรือคิดว่าเราเป็นซะมากกว่า มันเป็นภาพมายา ภาพที่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นแบบนี้ ทั้งเสื้อผ้า ร่างกาย การแต่งหน้าแต่งตา หนวดเครา ทรงผม ล้วนเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราสร้างสรรค์ตัวตนของเราขึ้นมา เนื้อหนัง ร่างกายและรูปร่างที่ได้มาตั้งแต่กำเนิดไม่อาจเลือกได้ แต่เราก็ขอเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ตกแต่งมันใหม่ ให้ได้สมดังใจอีก… Continue reading บางส่วนจากข้อสอบการสะท้อนตนเอง กลุ่มเรียนเดือน ก.ค. ชุดที่ ๑
สายน้ำคือช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านไป #งานเขียนต่อยอดการรู้จักตนเอง
“สายน้ำคือช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านไป” งานเขียนจาก กิตติญา สุขญาติ ม.บูรพา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การอบรมการเขียนเพื่อรู้จักตนเองและการสะท้อน สายน้ำในลำธารจะไหลไปเรื่อยๆตามเส้นทาง จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำที่ห่างไกลและไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดที่ไหน ตลอดระยะเวลา 18 ปี ฉันได้เห็นและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยที่สิ่งต่างๆเหล่านั้นไม่เคยย้อนกลับมา ณ จุดที่เคยผ่านไปได้เลย เฉกเช่นเดียวกันกับสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับมายังจุดกำเนิดได้อีก… สายน้ำที่เย็นฉ่ำในลำธารไหลจากต้นน้ำไปยังปลายน้ำ จากภูเขาลงสู่ลำธาร จากลำธารเล็กๆสู่ลำธารที่ใหญ่ขึ้น โลกใบเล็กๆเริ่มเติบโตสู่โลกที่กว้างใหญ่ จากภัยอันตรายแค่เพียงฝนตกกลับกลายเป็นพายุลูกใหญ่ โลกที่ใหญ่ขึ้นก็จะมาพร้อมกับอันตรายที่มากขึ้นเช่นกัน ภายใต้สิ่งที่เลวร้ายต่างๆทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง พายุฝน จนกระทั่งไฟป่าเป็นสิ่งที่เจ็บปวดและเลวร้ายมากสำหรับสายน้ำในลำธารอย่างเธอ ถึงแม้เธออยากจะช่วยเหลือเพียงใดแต่ก็ต้องช่วยเหลือตนเองให้รอดก่อน แต่กระนั้นเมื่อสิ่งร้ายๆผ่านพ้นไปความสงบสุขก็กลับเข้ามา ความอ่อนโยนจากสิ่งต่างๆ ริมลำธาร ทำให้ทุกอย่างดูสมบูรณ์และน่าจดจำเป็นที่สุด ในวันหนึ่งที่สงบสุขเธอได้พบเจอกับดอกไม้ริมลำธารที่รวงหล่นลงในลำธาร ดอกไม้ล่องลอยและไหลไปตามแรงลมที่พัดผ่าน ดอกไม้ชั่งดูสวยงามและดูสนุกสนานกับสิ่งที่พบเจอ เธอไหลตามไปดูดอกไม้ที่ถูกสายลมพัดไปเรื่อยๆ เธอเพลิดเพลินกับสิ่งใหม่ที่พึ่งพบเจอมาก แต่สุดท้ายดอกไม้ก็หายลับไปเพราะถูกกระแสน้ำที่แรงพัดจมลงสู่ใต้ลำธารเธอเสียใจที่ช่วยดอกไม้ไม่ทัน เธอจึงบอกกับตัวเองว่า”นี่แหละคือชีวิตที่โหดร้าย” สายน้ำในลำธารเล็กๆมีเส้นทางไม่มากนักที่จะได้เลือกไหลไป น้อยครั้งที่จะพบเจอทางแยก มันยากมาก ที่จะเลือกไปทางไหน และสิ่งที่ยากกว่าคือการที่เธอไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไร หลังจากเลือกเส้นทาง แต่ก็ต้องยอมรับสิ่งที่พบเจอหลังจากเลือกเส้นทางเพราะนี่คือการตัดสินใจของตนเอง “โลกที่ดูสวยงาม สดใส และสงบ” อาจเป็นเพียงความคิดที่เธอหวังที่จะได้พบเจอหลังจากที่เธอเลือกเส้นทาง เธออยากที่จะพบเจอสิ่งต่างๆที่เหมือนกับถิ่นกำเนิดของเธอ… Continue reading สายน้ำคือช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านไป #งานเขียนต่อยอดการรู้จักตนเอง
ราตรีสีเงิน #งานเขียนต่อยอดการรู้จักตนเอง
“ราตรีสีเงิน” งานเขียนจาก จิรภัทร สุวรรณาภิรมย์ สาขา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การอบรมการเขียนเพื่อรู้จักตนเองและการสะท้อน ถ้าจะพูดถึงชีวิตของเราคงไม่แตกต่างไปจากเรื่องเล่าตำนานราตรีสีเงินมากเท่าไรนัก ราตรีสีเงินไม่ได้หมายถึงความมืดมิดยามค่ำคืนที่เป็นสีเงิน แต่หมายถึงมังกรพันธ์ราตรีสีเงินที่งดงาม สง่างาม ร่าเริงและซ่อนความร้ายกาจ สมดังราชามังกร แต่กว่าจะได้อวดโฉมให้ใครต่อใครได้เห็น ก็ต้องผ่านช่วงเวลาแห่งชีวิตมาอย่างหนักหนา จุดเริ่มต้นของเรื่องราว เริ่มจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ พยายามเจาะกำแพงที่ห่อหุ้มร่างอันน้อยนิดของตัวมันเอง เพื่อได้ออกมาเห็นโลกภายนอก มันก็เหมือนกับชีวิตเราที่เริ่มต้นเติบโตมาในท้องแม่ เพียงแค่รอเวลาเพียงเท่านั้น จนในที่สุดเวลาแห่งการต่อสู้ เรียนรู้ และเติบโตในโลกกว้างก็ได้เริ่มต้นขึ้น ราตรีสีเงินน้อยได้ลืมตาดูโลกที่กว้างใหญ่ พยายามจดจำสิ่งรอบตัว สำรวจจนละเอียด ภายในสถานที่แห่งการเรียนรู้จุดแรกมันคือรังใหญ่โต ชีวิตที่น่าสงสารเริ่มนับจากนี้ เพราะสิ่งที่พบเจอคือการเป็นมังกรน้อยเพียงตัวเดียว และได้รับรู้ว่าตัวมันเองคือมังกรเพียงตัวเดียวในโลก และกำลังจะเลือนลางหายไปกับอดีตของโลกใบนี้ ก็เหมือนตัวเราที่เติบโตมาคนเดียว พอเราเริ่มที่จะเรียนรู้เป็น ก็พบว่าเรานั้นอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาตลอด จนทำให้เราตามหาใครสักคนให้มาเป็นเพื่อน คนรัก จนกระทั่งคู่ชีวิตเพื่อเดินทางไปกับเราจนถึงปลายทางที่เราวาดไว้ ราตรีสีเงินก็เช่นเดียวกันมันดิ้นรน เพื่อคายเหงา เพื่อต้องการความอยู่รอดมันจึงเริ่มออกเดินทาง มังกรมีช่วงเวลาชีวิตที่เดินเร็วกว่ามนุษย์ธรรมดา มันจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ยามเมื่อแสงอัสดงต้องกายของราตรีสีเงิน ทำให้เห็นชัดว่าร่างกายของมันสง่างาม ผิวหนังแวววาวเหมือนเพชรราคาแพง พร้อมกับปีกอันใหญ่โตที่ตัดกับลำตัวอย่างเด่นชัด จนได้มาถึงหมู่บ้านแห่งสีสัน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตัวบ้านแต่ละหลังถูกแต่งเติมสีสันมากมายและผู้คนในหมู่บ้านต่างสนุกสนามกับชีวิตประจำที่ดำเนินต่อไป ราตรีสีเงินจึงเริ่มที่จะเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้คน… Continue reading ราตรีสีเงิน #งานเขียนต่อยอดการรู้จักตนเอง