[ ก่อนเริ่มบทความ ผู้เขียนขอแสดงความขอบคุณและความชื่นชมจากหัวใจ ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเข้าเยี่ยมชมวัดพระแก้วและผู้จำหน่ายชุดแต่งกายประจำทางเข้า ซึ่งได้กรุณาเก็บคอมพิวเตอร์ที่ผู้เขียนใช้พิมพ์บทความนี้แล้ววางลืมทิ้งไว้พร้อมทั้งออกเดินตามหาผู้เขียนจนพบ ขอบพระคุณคุณตึ๋งผู้เดินตามหาผู้เขียนและสนทนาธรรมด้วยอัธยาศัยไมตรี เมื่อช่วงบ่ายคล้อยวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ขอประโยชน์และกุศลอันดีจากบทความนี้จงมีแก่ทุกท่าน . อนึ่ง ชุดที่จำหน่ายในวัดพระแก้วบริเวณทางเข้านั้นเป็นการจำหน่ายเพื่อนำรายได้เพื่อการกุศล สามารถให้การสนับสนุนได้แม้แต่งกายถูกต้องก็ตาม ] ๑ คาดหวังตัวเองอย่างไร คาดหวังคนอื่นอย่างนั้น : . เหตุใดเราจึงผิดหวังในตัวผู้อื่น เหตุใดจึงหวั่นไหวกับท่าทีและบางคำพูดของใครคนนั้นจนทำให้หงุดหงิด รำคาญ หรือท้อแท้ใจ เพราะอะไรเราจึงคอยกะเกณฑ์หรือสร้างเงื่อนไขบางอย่างต่อผู้อื่นและความสัมพันธ์ . เราจะไม่เป็นคนแพ้ ถ้าไม่คิดแข่งขันหรืออยากดีตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกันเราก็จะไม่ผิดหวังกับผู้อื่นหรือรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หากมิได้คาดหวังในตัวเองและไม่คิดเปรียบเทียบตนกับใครก่อน สิ่งที่เรากระทำต่อตนเองมักมีผลสะท้อนมายังการกระทำต่อผู้อื่น คนที่ชอบหลอกลวงโกหกคนอื่นก็เพราะเขาก็หลอกตนเองอยู่ด้วยเช่นกัน ด้วยการกลบเกลื่อนความจริงและการไม่ยอมรับตัวเอง . เราต่างก็เบียดเบียนกันอย่างไม่รู้ตัวก็ด้วยความคาดหวังเป็นอันดับแรกๆ ความคาดหวัง อาจจะอยู่ในรูปของความศรัทธา ความเชื่อมั่น และความเชื่อใจ โดยมีความอยากและความยึดติดผูกมัดในใจอยู่ลึกๆ เมื่อเขาหรือสิ่งนั้นเริ่มผิดแผกไปจากที่อยากและยึดติด เราก็เริ่มที่จะไม่พอใจ เดือดร้อน จนนำมาสู่การบีบคั้นและเบียดเบียนอีกฝ่ายหนึ่ง . พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ศาตราบ้าง… Continue reading ๔ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากทำร้ายคนอื่น
Category: ไกด์โลกจิต
๔ ธรรมะในการตัดสินตีความ
๑ การตัดสินในทางพุทธศาสนา . การตัดสิน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า judge คือการตีตรา ตีความ ตัดสินที่จะมีมุมมอง พิจารณา และให้คุณค่าอย่างไร . เราอยู่กับการตัดสินทุกๆ วัน และแทบทุกชั่วโมง บางลัทธิและบางคำสอนร่วมสมัยสอนให้เราไม่ตัดสินอะไร “Don’t Judge Everything” แม้จะมีการตัดสินอยู่เนืองๆ ในจิตใจ รวมทั้งการตัดสินว่านี่คือการตัดสินหรือไม่ตัดสิน บางลัทธิและความเชื่อของบุคคลก็สุดโต่งไปในทางตัดสินทุกสิ่งบนโลกใบนี้ที่ตัวเองได้รับรู้ “Judge Everything” ด้วยจุดยืนและความคิดที่ตนยึดถือไว้ . พุทธศาสนาเป็นกลางระหว่างสองแนวคิดดังกล่าว ไม่ได้สอนให้เราตัดสินทุกสิ่ง มิได้บอกให้เพิกเฉยไม่ตัดสินสิ่งที่ควร แต่เน้นให้รู้จักการตัดสินที่เหมาะสมและรู้เท่าทันในการตัดสินตีความของตนเอง . การตัดสินนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เราจำเป็นต้องคิดและตัดสินใจว่าจะให้คุณค่ากับเรื่องต่างๆ อย่างไร จะมีท่าทีแบบไหน วันนี้จะใส่เสื้อผ้าชุดไหน อาหารที่ซื้อมารับประทานเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ชีวิตวันนี้จะมีคุณค่าได้อย่างไร คนๆ นี้เหมาะสมกับเราหรือเปล่า หรือจะรับฟังด้วยท่าทีตัดสินหรือไม่ตัดสินก็ต้องตัดสินใจ . การตัดสินและการตัดสินใจอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่น้อยครั้งที่เราจะย้อนกลับมาพิจารณาให้รู้เท่าทัน จึงมักเผลอตัดสินตีความไปอย่างไม่เหมาะสม ทำให้เกิดปัญหาใหม่ หรือไม่ส่งเสริมกุศลให้เกิดขึ้น และการพยายามไม่ตัดสินที่มากจนเกินไปบางครั้งก็ทำให้เราไม่สามารถตัดสินในเวลาที่ควร . การตัดสินตีความเกิดจากการรับรู้ผ่านอายตนะหรือ หู… Continue reading ๔ ธรรมะในการตัดสินตีความ
๔ ธรรมะรับมือสรรพโรค
๑ มองโลกให้ถูกต้อง ไม่กลัวโรคภัย : . ความกลัวที่ขาดสติเป็นโรคที่น่ากลัวกว่าโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ ความกลัวเกิดจากอวิชชาแปลว่าความโง่หรือความไม่รู้จริงในกฎแห่งธรรมชาติ ความไม่รู้นี้ทำให้การรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทั้งหลายเป็นไปอย่างมืดบอดเหมือนหลับตาเดิน จะรับมือกับโรคภัยในโลกก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของโลก . การมองโลกอย่างถูกต้องจึงเป็นข้อแรก ในการรับมือกับสรรพโรคด้วยหลักคิดของธรรมะในพุทธศาสนา หากมองโลกไม่ถูกต้องแล้วความกลัวก็ย่อมครอบงำ ทำให้เรารับมือต่อสถานการณ์ที่มีทุกข์ภัยด้วยความโลภ โกรธ และหลง ส่งผลเป็นความทุกข์ต่อตนเองและคนอื่นเรื่อยไปไม่สิ้นสุด รับมือกับสถานการณ์ด้วยความโกรธก็กล่าวโทษไปทั่ว โลภก็ไขว่คว้าตักตวงฉวยโอกาส หลงก็ละเมอไปกับข้อมูลข่าวสารมากมาย แม้เชื้อโรคอยู่ไกลจากตัว แต่สุขภาพที่ดีก็เริ่มกลายเป็นบ้าเป็นโรคทางจิตตามหลักพุทธศาสนา เพราะการมองโลกไม่ถูกต้องเป็นจุดเริ่มต้น . ความจริงของโลกข้อแรกคือทุกสิ่งหนุนเนื่องไปตามแรงแห่งกรรม ความมีโรคและไม่มีโรค มีกรรมเป็นเครื่องกำหนด กรรมนี้มีความหมายถึงการกระทำและผลของการกระทำ ร้อยเป็นเส้นสายใยที่ต่อเนื่องด้วยเหตุและผล ทั้งในอดีต ปัจจุบัน แล้วนำไปสู่อนาคต สายใยนี้เชื่อมโยงตัวเรา คนอื่นๆ และสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติเข้าด้วยกัน ไม่มีใครก่อกรรมใดหรือรับผลกรรมใดเพียงลำพัง . ในแง่หนึ่งการอุบัติขึ้นของเชื้อโรคและภัยธรรมชาติที่หนักหนามากขึ้นก็เป็นผลพวงของกรรมร่วมกันของเราในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งเบียดเบียนบั่นทอนธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยการล้างผลาญ ตัดรอน และทำให้ทรุดโทรมลง จนโลกทั้งใบไม่อาจเพียงพอสำหรับเผ่าพันธุ์เดียว การประสบพบกับเหตุการณ์ร้ายและโรคระบาดร่วมกันจึงเป็นกรรมร่วมในสังคม . นี่คือความจริงข้อสำคัญมากที่คนร่วมสมัยเริ่มหลงลืมกันไปแล้วคือ กฎแห่งกรรม อันกล่าวว่า สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม สิ่งใดจะเกิดหรือไม่เกิดกับเราก็ล้วนเป็นไปตามกรรมที่กระทำมาในอดีตและวันนี้ การจะเจอหรือไม่เจอกับทุกข์ภัยก็ล้วนเป็นไปตามการกระทำที่เคยกระทำไว้ในอดีตและยาวนานกว่านั้น เราเคยเบียดเบียนบั่นทอนสิ่งใดมาก่อนวันหนึ่งเราก็ย่อมพบเจอเชื้อโรคหรือผู้คนที่มาเบียดเบียนบั่นทอนกายใจ เราเจอกับสิ่งที่ต้องเจอ เป็นในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็ด้วยเพราะเหตุแห่งกรรมกำหนด… Continue reading ๔ ธรรมะรับมือสรรพโรค
ข้อคิดและแนวทางเพื่อการ “พัก” อย่างแท้จริง
๑ ปริมาณและวันหยุดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด : . เราจะพักอย่างไรเพื่อให้กายจิตได้พักผ่อนอย่างแท้จริง บางครั้งเราก็ต้องการเวลาหยุดพักนานๆ วันหยุดที่ยาวต่อเนื่องกัน แต่เราได้พักในเวลาเหล่านั้นอย่างแท้จริงมากเพียงใด บางทีหยุดงานแล้วเราก็เลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวหรือตระเวนกิน เสพความบันเทิง และจับจ่ายใช้สอย แต่เราได้พักอย่างแท้จริงเพียงใด หลายครั้งการพักผ่อนหย่อนใจก็ทำให้เราเหนื่อยล้าหรือป่วยมากขึ้น . ภายนอกอาจได้หยุดพัก แต่หลายครั้งที่ภายในไม่ได้พักจริง จึงยิ่งพาภายนอกไม่ให้พัก เช่น หยุดทำงานก็หยิบมือถือขึ้นมาตรวจสอบสิ่งต่างๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตโดยไม่จำเป็น หรือวันหยุดแล้วก็อยากไขว่คว้าสิ่งต่างๆ หรือคิดถึงอนาคตบ้างอดีตบ้างจนความคิดไม่ได้สงบลงเลย บางคนหลับลงแล้วยังทำงานต่อก็ยังมี . บางครั้งเราก็รู้ว่าภาระภายนอกและกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำช่างมากมายเหลือเกินจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนหรือใส่ใจดูแลตนเองอย่างเพียงพอ . ในพระไตรปิฎก*(๑) กล่าวว่าภารกิจของพระพุทธเจ้าในแต่ละวันนั้นมีอยู่ห้าอย่างด้วยกัน มีได้แก่ ปุเรภัตตกิจ กิจก่อนเสวยอาหารตั้งแต่รุ่งเช้า อาทิ ทรงบิณฑบาต เสด็จไปอาณานิคมต่างๆ ตรวจดูจิตของสัตว์โลก อนุเคราะห์อุปัฏฐาก เป็นต้น , ปัจฉาภัตตกิจ กิจหลังเสวยอาหาร ให้โอวาทภิกษุและประทานกรรมฐานให้ฝึกฝน และทรงเยี่ยมหมู่ชนที่รวมกลุ่มมา เป็นต้น , ปุริมยามกิจ กิจยามค่ำ ตอบคำถามเหล่าภิกษุทั้งหลายจนถึงช่วงค่ำ จนถวายบังคมลาแล้ว , มัชฌิมยามกิจ กิจยามค่อนดึก ทรงต้องต้อนรับเทวดาน้อยใหญ่ที่มาประชุมกันและทรงวิสัชนาปัญหาให้… Continue reading ข้อคิดและแนวทางเพื่อการ “พัก” อย่างแท้จริง
รับมือความเครียดไม่ยาก หากรู้ ๕ ข้อนี้
๑ เข้าใจความเครียด : . ความเครียดนั้นเป็นกลไกการ “ตื่นตัว” โดยธรรมชาติ เป็นสัญชาตญาณเพื่อปลุกกายจิตให้ตั้งท่า หรือเรียกว่าตั้งการ์ดให้พร้อมสำหรับการเอาตัวรอดเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ความเครียดยังเรียกได้อีกแบบว่าความ “ตึง” เป็นอาการที่กายหรือจิตมีความพยายามในการจะทำสิ่งใด เหมือนการจะขยับเขยื้อนร่างกายก็ย่อมจะมีความตึงเกิดขึ้นสลับกับความหย่อน ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติ จึงกล่าวได้ว่าความเครียดเป็นภาวะธรรมดา ไม่ใช่ศัตรูหรือสิ่งที่เราต้องกลัว แต่สิ่งที่ทำร้ายเราจริงๆ แล้ว คือการตื่นตัวและการตึงจนเกินความพอดีและความจำเป็น . หากเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตดังเสียงเพลงของพิณหรือกีตาร์แล้ว การใช้ชีวิตก็คือการขึงสายของพิณหรือกีตาร์นั้น หากขึงหย่อนเกินไป หรือขึงตึงเกินไป เสียงเพลงของพิณหรือกีตาร์นั้นก็ไม่ไพเราะ การใช้ชีวิตหากตึงหรือหย่อนเกินไป คุณภาพชีวิตก็ไม่พอดี . ความเครียดที่พอดีก็คือการขึงสายที่เหมาะสม ย่อมมีความตึง มีความตื่นตัว อยู่เป็นธรรมดาและตามความจำเป็น ความเครียดไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่ชีวิตจะเลวร้ายเมื่อระดับความเครียดอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม หรือกล่าวให้ถูกต้องคือเมื่อกายจิตตื่นตัวและมีความตึงที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป . เมื่อกายจิตรับรู้ปัญหาหรืออุปสรรคบางอย่างก็จะปลุกเราให้ตื่นตัวด้วยความเครียดให้รู้สึก ด้วยอาการทางกายก็ดี หรืออาการทางใจก็ดี เพื่อเร่งเร้าให้เราจัดการกับสิ่งตรงหน้า ร่างกายและท่าทีของเราก็จะมีความตึงมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้หรือหนีสิ่งที่เข้ามา จนเมื่อปัญหาเหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้ว ตามธรรมชาติกลไกการตื่นตัวย่อมต้องทำงานน้อยลง กายและจิตก็จะผ่อนคลายลง ลดการตั้งการ์ด หรือ “การปกป้องตนเอง” ลงไปในระดับปกติ . ข้างต้นนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อปัญหาผ่านพ้นไปแล้ว แต่กลไกการตื่นตัวยังทำงานอยู่ไม่เลิกรา… Continue reading รับมือความเครียดไม่ยาก หากรู้ ๕ ข้อนี้
๑๑ ข้อคิด คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต” ส่งท้ายปี ๒๕๖๒
รวมบางข้อคิดและเนื้อหาจากบทความคอลัมน์ ไกด์โลกจิต ตอนที่ ๓๙ ถึง ตอนที่ ๔๙ ประจำปี ๒๕๖๒ ซึ่งเผยแพร่รายเดือนทางเว็บไซต์และเพจเฟสบุ๊คของเรา . ผู้อ่านสามารถอ่านบทความเต็มของทุกเรื่องได้ฟรี ในเว็บไซต์ www.dhammaliterary.org/คอลัมน์-ไกด์โลกจิต/ . . – บทความเรื่อง สร้างวันว่าง ด้วยการวาง . “ต่อให้แม้ไม่ใช่วันว่างหรือเวลาว่าง แต่หากเราวางใจไว้ว่า สิ่งใดสำคัญต่อเรามากๆ แล้ว เราย่อมสามารถแบ่งเวลาและหาหนทางจัดการมันได้ สิ่งใดที่ดีที่อยากทำแต่แม้มีเวลาว่างแล้วก็ไม่ทำ เพราะเรายังวางใจในคุณค่าของสิ่งนั้นๆ ไม่พอ . “เราต้องคิดถึงคุณค่าของสิ่งที่เราตั้งใจที่จะลงมือทำ ไม่คิดว่าหากไม่ได้ทำวันหน้าก็อาจทำได้ ลองคิดในทางแย่ที่สุดว่าหากไม่ได้ทำแล้วจะเป็นอย่างไร และอาจไม่มีโอกาสหน้าให้ทำอีกก็ได้ . “เราจะมีเวลาว่างได้ เรายังต้องวางใจในตนเองด้วยว่า เราสามารถทำสิ่งนั้นๆ ได้ และหาทางจัดการให้ได้ทำสิ่งดังกล่าวให้สำเร็จ เพราะตราบใดที่เราเอาแต่บอกว่า ไม่นำทำได้ ไม่น่ามีเวลาพอ หรือเรามีข้อจำกัดอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ไม่มีทางทำได้เลย เพราะสะกดจิตตนเองไว้แล้ว สะกดกลั้นไฟแรงมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จไว้แล้ว . “วางใจยังมีความหมายว่า ศรัทธา หรือ ความเชื่อ… Continue reading ๑๑ ข้อคิด คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต” ส่งท้ายปี ๒๕๖๒
๕ คำสอนพระพุทธเจ้า เพื่อรับมือคำด่าและท่าทีแย่ๆ
๑ ยอมรับความเป็นจริงแห่งชีวิต : . “การนินทาหรือการสรรเสริญนี้มีมาแต่โบราณ มิใช่มีเพียงวันนี้ คนย่อมนินทาแม้ผู้นั่งนิ่ง แม้ผู้พูดมาก แม้พูดพอประมาณ ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก บุรุษผู้ถูกนินทาโดยส่วนเดียว หรือถูกสรรเสริญโดยส่วนเดียว ไม่มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีในบัดนี้” *(๑) . เป็นธรรมดาที่เราจะถูกดุ วิจารณ์ ตำหนิ ตัดสิน หรือมีท่าทีแย่ๆ ต่อเรา ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดกับเราลำพังคนเดียวบนโลก ไม่ได้เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเท่านั้นในตอนนี้ เราเป็นคนธรรมดาคนๆ หนึ่ง ย่อมทำผิดพลาดได้ ย่อมเผลอพลั้งทำสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ เป็นธรรมดาที่จะถูกตำหนิได้ เพราะเราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น . เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าการนินทาหรือการสรรเสริญมีมาแต่โบราณ หรือเรียกว่าเป็นของเก่า เพราะเวลาเราโดนว่าหรือโดนชมเชย ใจมักรู้สึกไปเองว่าคำพูดหรือท่าทีเหล่านั้นมันสำคัญมาก ใหญ่โตมาก เป็นของเราแต่ผู้เดียว เหมือนโลกทั้งใบเราถูกตำหนิเพียงลำพัง ตรงนี้เป็นเพราะอัตตาเผลอคิดไปเอง . การถูกว่า ถูกกระทำในทางที่ไม่ชอบใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นเดียวกันกับ ลาภ หรือสิ่งดีๆ ที่ได้มา ได้มี , ความเสื่อมลาภ , ยศ… Continue reading ๕ คำสอนพระพุทธเจ้า เพื่อรับมือคำด่าและท่าทีแย่ๆ
๕ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากเป็นทาสความคิด
๕ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากเป็นทาสความคิด ๑ แม้ใช้เหตุผล ก็มีอารมณ์อยู่เบื้องหลัง : . เหตุใดการพูดคุยกันด้วยเหตุผลหรือการตัดสินใจด้วยเหตุผลจึงอาจไม่ได้ลดความทุกข์ในหัวใจ เหตุใดจึงมีความวุ่นวายในที่ๆ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ใช้เหตุผลของตนเอง เหตุใดคนเราจึงตกอยู่ภายใต้ความคิดดูที่มีเหตุผลเหลือเกินแต่ไม่ช่วยให้สถานการณ์และชีวิตดีขึ้น . ความล้มเหลวของการใช้ความคิด เริ่มจากการไม่รู้เท่าทันอารมณ์ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะเรามักคิดว่าตนเองนั้นใช้เหตุผลแล้ว แต่มักคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมฟังเหตุผลหรือทำตามอารมณ์อำเภอใจ โดยหารู้ไม่ว่า เราเองก็ไม่ได้ใช้เหตุผลอย่างแท้จริงเหมือนกัน เพราะความคิดมักถูกผลักดันด้วยอารมณ์ที่ไม่รู้สึกตัว . สังเกตได้ว่าเวลาอารมณ์ดี ความคิดและการใช้เหตุผลของเราจะเป็นอย่างหนึ่ง เวลาไหนอารมณ์ไม่ค่อยดี ความคิดและการใช้เหตุผลของเราอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แม้ในเรื่องเดียวกัน . ในทางจิตวิทยาเบื้องหลังพฤติกรรมและความคิดของมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึกซ่อนอยู่ข้างใต้เสมอ ทั้งอารมณ์ที่สังเกตได้ง่ายและสังเกตได้ยาก โดยเบื้องหลังของอารมณ์นั้นๆ ก็มักมีความต้องการพื้นฐาน (Need) เป็นเบื้องหลังอีกทีหนึ่ง . ดังนั้นแล้ว ความคิดก็เป็นเพียงเครื่องมือที่เราใช้เพื่อตอบสนองอารมณ์ของใจอันเนื่องมาจากความต้องการพื้นฐาน เราใช้ไปโดยอัตโนมัติ . ในทางพุทธศาสนาความคิดก็เป็นเพียงการปรุงแต่งขึ้น สืบเนื่องมาจากอารมณ์ ความจำได้หมายรู้ และการรับรู้ผ่านอายตนะเป็นที่มา เมื่อขาดสติแล้ว เหตุผลที่ว่าดี (สำหรับเรา) ก็เป็นเหมือนเรือที่ลอยลำอยู่บนน้ำ พร้อมที่จะแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์และการรับรู้ของเราเอง . อารมณ์ที่ว่านั้นมีทั้งลักษณะเป็นสุข (สุขเวทนา) เป็นทุกข์… Continue reading ๕ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากเป็นทาสความคิด
๙ วิธี ชนะข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” และหยุดเสียเวลาชีวิต
๙ วิธี ชนะข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” และหยุดเสียเวลาชีวิต ภาค ปรับวิธีคิด . ๑ เรากำลังเผลอโทษสิ่งนอกตัวหรือไม่ : . การกล่าวว่า “ไม่มีเวลา” หรือ “ต้องใช้เวลามาก” เป็นการโทษสิ่งนอกตัว คือโทษเวลาหรือภาระทั้งหลาย นี่เป็นการบอกปัดความรับผิดชอบออกไปนอกตัว ทั้งที่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้เรา “ทำไม่ได้” หรือ “ไม่ได้ทำ” เกิดจากความเพียรมากน้อยของตนเอง และการบริหารจัดการชีวิต . การกล่าวโทษเวลาและภาระจึงยังเป็นการปฏิเสธตัวเองและความจริงที่ว่า เรายังมีความเกียจคร้านอยู่ เรายังมีความหลงอยู่ การกระทำของเราเองเป็นเหตุของความผิดพลาด มิใช่เวลาเป็นเหตุผลสำคัญ . หากเรามัวเฝ้าโทษเวลาน้อย และภาระต่างๆ อันเป็นของนอกตัวแล้ว เมื่อนั้นเราก็กำลังเสียเวลา เพราะไม่เรียนรู้และไม่สำนึกตนว่าเราต้องพัฒนาตนเอง ความผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นต่อไป จึงเป็นเหตุทำให้เสียเวลาไม่รู้จบ แม้เพียงแค่เรามีความเพียรมากขึ้นกว่านี้ โทษตนเองไม่โทษสิ่งนอกตัวเกินไป เราก็มีเวลามากขึ้นแล้ว เพราะเหตุที่จะทำให้เสียเวลาในวันหน้าได้ลดน้อยลง . ชีวิตของตัวเราเองคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง การใช้ชีวิตในแต่ละวันคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เวลาไม่ใช่สิ่งที่จะรับผิดชอบภาระต่างๆ ให้ได้ เราต้องเคารพตนเองให้มากพอ เป็นผู้ใหญ่ให้มากพอที่จะรู้ดูแลสิ่งต่างๆ ในขอบเขตที่ควร .… Continue reading ๙ วิธี ชนะข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” และหยุดเสียเวลาชีวิต
โฮโอโปโนโปโน
“สี่คำนี้ทรงพลังในการรักษา I love you ฉันรักคุณ I am sorry ฉันขอโทษ Please forgive me โปรดให้อภัยฉัน Thank you ขอบคุณ “โรเบิร์ต ดิว คิดค้น จากการสังเกตการทำงานนายแพทย์สแตนลี่ ฮิว ในหนังสือของ โจว วิทาลี ในโรงพยาบาล จากหนังสือ “zero limit” Forgiveness love your problem . “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำรัฐฮาวาย ซึ่งในโรงพยาบาลแห่งนี้มีแผนกจิตเวชที่รักษานักโทษโรคจิตขั้นร้ายแรงอยู่ คนไข้ที่มารักษาที่นี่มีประวัติที่สุดแสนอุกฉกรรจ์ มีทั้ง ฆาตรกรโรคจิต ฆาตรกรฆ่าข่มขืน ลักพาตัวฯลฯ ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษซึ่งถูกส่งตัวมารักษา บ้างก็ก่อนได้รับการพิจารณาโทษหรือในบางรายก็ถูกส่งตัวมาดูอาการว่าสามารถส่งพิจารณาความผิดได้หรือไม่ . “เป็นที่เล่าขานกันว่าสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปในแผนกนั้นทรุดโทรมย่ำแย่เหลือทน ผนังเก่าๆ สภาพห้องที่เหม็นอับ จนแพทย์พยาบาลทั้งหลายต่างไม่อยากที่จะแวะเวียนไปย่ำกรายที่แผนกนี้ พนักงานประจำต่างพากันลาป่วยเป็นว่าเล่น ประกอบกับความหวาดกลัวการถูกทำร้ายจากบรรดานักโทษทั้งหลายที่ได้ชื่อว่ามักจะทำร้ายนักโทษด้วยกันหรือแม้แต่ผู้คุมไม่เว้นแต่ละวัน… Continue reading โฮโอโปโนโปโน