จดหมายจากการพลัดพราก 4 ข้อคิดความสูญเสียในพระไตรปิฎก จิตของเราโดยธรรมชาติมีกลไกปกป้องตัวเองจากความทุกข์ต่างๆ เป็นการหนีบ้าง สู้บ้าง สยบยอมบ้าง ไม่ก็ชะงักงันไป เรียกว่าเป็นหลัก 4F (Fight Flight Freeze Fawn) หลักธรรมในพุทธศาสนาและคำสอนจากศาสนาและจิตวิทยาอันชอบด้วยธรรมอันดีแล้ว ย่อมช่วยขัดเกลาและโน้มน้าวพาใจกล้าหาญเผชิญกับทุกข์ อันเป็นความจริงของชีวิตที่หลีกหนีไม่ได้ ยิ่งหนียิ่งสู้ก็ยิ่งเป็นทุกข์ผูกรัดเป็นปมแก่ใจ . ปมในใจต่างๆ ของเรานั้นล้วนไม่ได้เกิดจากทุกขอริยสัจ หรือความจริงแห่งทุกข์แต่เกิดจากกลไกปกป้องตัวเองของเรานี่เอง ทำให้ทุกข์ตามธรรมชาติเป็นทุกข์ซ้ำซับซ้อน . “ทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์” * เป็นความเป็นไปที่เราต่างก็ต้องพบเจอ ไม่อยู่ในฐานะที่จะเปลี่ยนแปลงหรือหลบเลี่ยงได้ เมื่อใดจิตอยู่ในกลไกปกป้องตนเองสี่แบบอย่างขาดสติ จิตก็ยิ่งดิ้นรนจนทุกข์ทวี . จากกลไกปกป้องตนเองสี่แบบ บทความนี้ขอเชิญชวนเราใคร่ครวญในธรรมะสี่ข้อ ซึ่งเป็นข้อคิดจากพระไตรปิฎก ซึ่งเปรียบได้กับจดหมายจากการพลัดพรากส่งมาถึงเราเพื่อบอกกล่าวสิ่งเตือนใจและความเป็นจริงของชีวิตให้รับรู้ . . ๑ ที่สุดของการยึดถือคือการพลัดพราก : . “สิ่งใดที่เกิดแล้ว มีแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว… Continue reading จดหมายจากการพลัดพราก
Category: ไกด์โลกจิต
๕ วิธีเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเองให้แก่เด็ก
๕ วิธีเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเองให้แก่เด็ก ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) คือ การรู้เท่าทันตนและรับรู้กายใจตนเองอย่างมีสติ เป็นฐานสำคัญของการรู้จักตัวเอง (Self-Understanding) แล้วมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ การมีความสุขและความพึงพอใจในตนเอง ส่งเสริมการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม พัฒนาการเข้าสังคม และการรู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนเอง . สิ่งนี้เป็นเสมือนรากฐานที่จะช่วยให้เด็กๆ เติบโตอย่างมีความมั่นคงทางจิตใจ ใช้ชีวิตอย่างเห็นคุณค่าของตนและของสิ่งรอบข้าง ไม่ทำสิ่งที่บั่นทอนแก่ตนเองและผู้อื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ครูและผู้ปกครองจะต้องส่งเสริมให้เด็กๆ ได้มีความตระหนักรู้ในตนตั้งแต่ช่วงเยาว์วัย เพื่อให้เขารักตัวเองอย่างเหมาะสมต่อไป ซึ่งจะมีผลทำให้รักผู้คนและสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างเคารพในคุณค่าอีกด้วย . บทความนี้จึงจะบอกเล่าวิธีการบางส่วนเพิ่มเติมความตระหนักรู้ในตนให้แก่เด็กๆ ในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองของพวกเขาก็ดี หรือเป็นคุณครูก็ดี หรือเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ตาม . ๑ เป็นกระจกให้แก่พวกเขา : . ทักษะการให้ Feedback หรือการสะท้อนและให้คำแนะนำ เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้ปกครองและครู ซึ่งเป็นเสมือนตัวช่วยให้พวกเขาสังเกตตนเองอย่างชัดเจนคล้ายเป็นการสร้างกระจกให้แก่เด็กๆ ได้ทบทวนย้อนดูตนเองและสิ่งที่พวกเขาทำ ผ่านคำพูดจากตัวเราสะท้อนตัวเขาและเสนอแนะเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเป็นและทำ . การสะท้อนเด็กๆ ที่ดีนั้นมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ ๓ ประการด้วยกัน ได้แก่ เฉพาะเจาะจงและแสดงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น , ชมเชยคุณสมบัติแต่ไม่มากเกินไป และ แยกแยะความรู้สึกออกจากพฤติกรรมและความคิด .… Continue reading ๕ วิธีเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเองให้แก่เด็ก
๗ ข้อคิดเรื่องความโกรธ จากพระพุทธเจ้า
๗ ข้อคิดเรื่องความโกรธ จากพระพุทธเจ้า ความโกรธ มักเป็นอารมณ์ที่เราอยากให้คนอื่นแก้ไข แต่มักไม่ค่อยสังเกตและแก้ไขในตนเอง ธรรมะและข้อคิดเรื่องความโกรธไม่เพียงเหมาะแก่ผู้มักโกรธหรือหัวเสียบ่อยเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับเราที่หัวเสียไม่บ่อยด้วย ทั้งชีวิตที่มิค่อยแสดงความโกรธ แต่เพียงกระทำตามความโกรธแค่ครั้งเดียวก็อาจส่งผลต่อชีวิตชนิดที่ไม่อาจย้อนคืน . . ๑ ความโกรธมีหลายระดับและลักษณะ : . การที่เราจะรู้ทันและดูแลความโกรธเป็น เราต้องเข้าใจก่อนว่าความโกรธนั้นมีหลายแบบหลายระดับด้วยกัน บางครั้งเราปฏิเสธว่านี่มิใช่ความโกรธ แค่หงุดหงิด รำคาญ ดังพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า . “ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขัดเคือง ความขุ่นเคือง ความเคือง ความเคืองทั่ว ความเคืองเสมอ ความชัง ความชังทั่ว ความชังเสมอ ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ความเป็นผู้โกรธ ความชัง กิริยาที่ชัง ความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ดุร้าย ความเพาะวาจาชั่ว ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต นี้เรียกว่า ความโกรธ.”… Continue reading ๗ ข้อคิดเรื่องความโกรธ จากพระพุทธเจ้า
แก้ง่วง (และใจห่อเหี่ยว) ด้วย ๘ วิธี ๓ คำแนะนำจากพระพุทธเจ้า
แก้ง่วง (และใจห่อเหี่ยว) ด้วย ๘ วิธี ๓ คำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นพระโมคคัลลานะนั่งโงกง่วงอยู่ จึงทรงปรากฏตรงหน้าให้รู้สึกตัว แล้วทรงตรัสถามด้วยความใส่ใจและให้ข้อแนะนำวิธีแก้อาการง่วงดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งมิใช่มีประโยชน์แต่เพียงพระโมคคัลลานะเท่านั้น แต่ยังเป็นเทคนิควิธีการที่ใช้ได้แก่ตัวเราเองในการทำงาน การเรียน และการปฏิบัติธรรมอีกด้วย . แบ่งวิธีแก้อาการง่วงและใจห่อเหี่ยวที่ท่านทรงตรัสเป็น ๘ ข้อดังนี้ * โดยไล่เรียงตามลำดับคำแนะนำ หากวิธีการลำดับต้นใช้ไม่ได้ผล ก็ให้ใช้วิธีการลำดับถัดมา เนื่องด้วยความง่วงเป็นนิวรณ์หรือเมฆหมอกที่ห่อคลุมใจ กลุ่มเดียวกันกับความห่อเหี่ยว หมดพลัง และเศร้าใจ เรียกว่า ถีนมิทธะ คำแนะนำบางประการหลังจากนี้จึงสามารถใช้เพื่อโน้มน้าวจิตให้ตื่นขึ้นจากความห่อเหี่ยว หมดพลัง และเศร้าใจได้ด้วยเช่นกัน . . ๑ พิจารณา สัญญา คือความจำได้หมายรู้และสิ่งนองเนื่องแห่งจิต สำรวจตรวจใจตนเองว่าภายในมีความนึกคิดและเมล็ดพันธุ์แห่งจิตอะไรที่ก่อตัวความง่วงและความห่อเหี่ยวขึ้น เช่นหากชีวิตช่วงนี้เราเอาแต่คิดว่า การงานช่างน่าเบื่อเหลือเกิน , ตัวฉันทำอะไรก็ไม่ดี , ฉันไม่ชอบสิ่งนี้เลย เป็นต้น ความนึกคิดเช่นนี้ใน สัญญา ก็จะเป็นส่วนก่อตัวความง่วงและห่อเหี่ยวแก่ใจ . ๒ ระลึกถึง ธรรมะที่ได้เล่าเรียนมา… Continue reading แก้ง่วง (และใจห่อเหี่ยว) ด้วย ๘ วิธี ๓ คำแนะนำจากพระพุทธเจ้า
๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนสอง)
๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนสอง) ๖ ระวังจิตถูกยึดอำนาจ : . ประชาธิปไตยภายนอก ได้ผู้นำจากการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยภายใน จิตได้ผู้นำจากสติ สำนึกคือผู้ปกครอง ท่ามกลางบุคลิกภาพย่อยหรือตัวตนอันหลากหลายเป็นประชาชน ในตัวเราประกอบด้วยตัวตนมากมาย แต่ละตัวตนคือชุดของความคิด ซึ่งประกอบไปด้วยความต้องการ ความเคยชิน ความเชื่อ และความรู้สึก ต่างผลัดกันทำหน้าที่ขึ้นมาครองเก้าอี้จิตสำนึก เป็นนายกผู้ปกครองเมืองหลวงของจิตใจ ขึ้นชื่อว่าการเมืองแล้วย่อมมีความวุ่นสลับกับความว่าง ตัวนั้นตัวตนนี้ผลัดเปลี่ยนกันมามีอำนาจ เฉกเช่นสภาพสังคมภายนอกใจ . อำนาจภายนอกขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก อำนาจภายในขึ้นอยู่กับปัจจัยภายใน เมื่อใดอำนาจขาดเสถียรภาพ การเมืองย่อมสั่นคลอน มิว่าเรื่องภายนอกตัวหรือภายในจิตใจตนเอง เมื่อใดการปกครองสุดโต่งหรือขาดสติ เมื่อนั้นย่อมเกิดการปลุกปั่นและขบวนการเพื่อหวังพลิกขั้วอำนาจ เป็นธรรมชาติดังลูกตุ้ม เมื่อเหวี่ยงไปในฝั่งใดถึงที่สุด ก็จะรุดรีบผันกลับมาอีกฝ่าย ทั้งอำนาจภายนอกและภายใน ต่างมั่นคงแข็งแรงที่สุดเมื่ออยู่ตรงกลาง นั่นคือภาวะทางการเมืองที่ว่างจากความวุ่นมากที่สุด . จิตของเราเมื่อวันใดถูกครอบงำด้วยอารมณ์อย่างหนึ่งมากเกินไปแล้ว ย่อมมีแนวโน้มที่เราจะดิ้นรนเหวี่ยงแกว่งไปยังอีกขั้วหนึ่ง มิใช่เฉพาะคนมีปัญหาทางจิตใจที่จะมีสองขั้วสลับไปมาเท่านั้น แต่เราทุกคนต่างมีสองฝ่ายและมากกว่า พลิกข้างกลับไปกลับมาอยู่เสมอ . เมื่อใดใจเราถูกความเกียจคร้านยึดอำนาจ นานวันเข้า ตัวตนอื่นๆ ภายในก็จะเรียกร้องประท้วงเราให้ขยันขันแข็ง แต่แล้วก็เหวี่ยงแกว่งไปยังความกลุ้มกังวลใจ กลัวทำไม่ได้ กลัวทำไม่เสร็จ… Continue reading ๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนสอง)
๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนแรก)
๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนแรก) การเมืองมิใช่เรื่องนอกตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องภายในตัวเราอีกด้วย ความขัดแย้งภายในจิตใจ เงื่อนปม ความคิด อารมณ์ และความสัมพันธ์ต่อตนเองด้านต่างๆ ทางจิตวิทยา เป็นเรื่องการเมืองของกายจิตดีๆ นี่เอง เปรียบเสมือนโลกหรือสังคมขนาดใหญ่ที่จะมีภาวะเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไร อยู่ที่การปกครองและองค์ประกอบน้อยใหญ่ของโลกภายในแห่งนี้ . บทความนี้นำเสนอ ๙ ข้อซึ่งเป็นแง่คิดและคำถามชวนเรากลับมาสังเกตดูตนเองว่า ในกายจิตเราเป็นประชาธิปไตยหรือไม่อย่างไร แล้วการเมืองภายในนี้ส่งผลต่อโลกรอบตัวเราอย่างไรบ้าง เพื่อการอยู่กับตนและผู้อื่นอย่างสันติในธรรม . . ๑ ร่างกายและจิตใจคือสังคมขนาดใหญ่ : . ก่อนที่เราจะเข้าใจว่าประชาธิปไตยในตัวเราเองนั้นคืออะไร เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในร่างกายและจิตใจนี้เป็นสังคมอย่างไร เราทราบดีว่า ร่างกายประกอบด้วยระบบน้อยใหญ่ต่างๆ มากมาย ทั้งแต่อวัยวะ ประสาท เลือด กล้ามเนื้อ เล็กลงไปถึงเซลล์ ทั้งหมดทำงานดังสังคมขนาดใหญ่ที่ต่างฝ่ายมีบทบาทโยงใยต่อกันและกัน . มีระบบภูมิคุ้มกันเป็นกระทรวงกลาโหม โดยมีเม็ดเลือดขาวเป็นทหารหาญ มีเส้นประสาทเป็นระบบราชการโยงใยไปทั่วมณฑล มีสมองเป็นศูนย์ราชการ และส่วนต่างๆ ดังกระทรวงทบวงกรมอีกหลากหลาย . ในจิตใจเองก็มีกลไกต่างๆ อาทิ กลไกปกป้องตัวเอง… Continue reading ๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนแรก)
สร้าง “วันว่าง” ด้วยการ “วาง”
สร้าง “วันว่าง” ด้วยการ “วาง” [ คอลัมน์ ไกด์โลกจิต ตอนที่ ๓๙ ] บ่อยครั้งที่เรารอทำสิ่งที่ดีให้แก่ตนเอง หรือสิ่งที่มีคุณค่าแก่คนอื่นๆ เมื่อมี “วันว่าง” รอให้มีวันแบบนี้ก่อน บอกแก่ตนเองและคนอื่น แต่บ่อยครั้งที่ “วันว่าง” ได้มาถึง เรากลับ “ไม่ว่าง” พอที่จะทำในสิ่งที่ดีเหล่านั้นอย่างที่พูดไว้ . บทความนี้เป็นการแนะนำข้อคิด ๕ ประการ เพื่อสร้างวันว่างด้วยตนเอง ไม่ต้องรอ และเพื่อความเข้าใจต่อวันว่างที่ถูกต้องอีกด้วย . . ๑ วางใจ : การมีเวลาว่างพอที่จะทำในสิ่งต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าเราวางใจไว้อย่างไร . นึกถึงตอนที่สิ่งสำคัญของตนจู่ๆ ก็หายไปหาไม่เจอ แม้ตอนนั้นเราอาจกำลังยุ่งหรือมีธุระ ใจเราอาจคิดค้นหาเสียก่อนจะทำอะไรอย่างอื่น หรือเมื่อตอนคนที่เราห่วงใยกำลังป่วยหรือเป็นทุกข์กะทันหัน ต่อให้ตอนนั้นเรากำลังมีงานหรือ ไม่ว่าง เราก็สามารถหาหนทางดูแลอีกฝ่ายได้ . ต่อให้แม้ไม่ใช่วันว่างหรือเวลาว่าง แต่หากเราวางใจไว้ว่า สิ่งใดสำคัญต่อเรามากๆ แล้ว เราย่อมสามารถแบ่งเวลาและหาหนทางจัดการมันได้… Continue reading สร้าง “วันว่าง” ด้วยการ “วาง”
๑๑ ข้อคิดคอลัมน์ ไกด์โลกจิต ประจำปี ๒๕๖๑
๑๑ ข้อคิดคอลัมน์ ไกด์โลกจิต ประจำปี ๒๕๖๑ “หากใครคนหนึ่งทำให้เราเจ็บช้ำ ใครคนนั้นกำลังเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเรา ครูที่ไม่ต้องการศรัทธา ความชอบตอบกลับ คือคนที่สอนให้เราเข้าใจในความทุกข์ . “ทั้งนี้เมื่อเราพบเจอกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย ก่อนที่เราจะพยายามลบเลือนความทุกข์ด้วยข้อคิดใด เราควรกลับมาใส่ใจดูแลและรับฟังใจของตนเองอย่างลึกซึ้ง อย่างไม่หน่ายหนีหรือรังเกียจใจตนเองยามบอกช้ำ . “แม้สิ่งใดหรือใครจะพลัดพรากจากเราไป เราต้องไม่ทิ้งหัวใจของตนเอง มิว่าใครเป็นเหตุก่อทุกข์ เราต้องไม่เป็นเหตุก่อทุกข์แก่ใจและร่างกายเราซ้ำเติม เรามีคุณค่าเสมอ หัวใจและร่างกายเรามีคุณค่าเกินกว่าที่จะทำสิ่งเลวร้ายอย่างเดียวกับกับที่ทำร้ายเรา ต่อตัวเราเอง และต่อใคร” . จากบทความ คุณค่าแท้การให้ “อภัย” เผยแพร่เดือนมกราคม ๒๕๖๑ . . “หลายครั้งเราก็หลงลืมว่า คุณค่าและสิ่งสำคัญในชีวิตคือสิ่งที่อยู่ใกล้เรามากที่สุด นั่นคือ จิตใจ และ ร่างกายตนเอง เราได้ดูแลอย่างสมดุลหรือไม่หากเทียบกับสิ่งนอกตัว ในสังคมปัจจุบันมีกระแสหลากหลายฉุดดึงให้เราสนใจเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที ผลักดันให้เราทะยานอยากและใฝ่หวังถึงบางสิ่งที่มีค่า ดิ้นรนขวนขวายเพื่อสิ่งเหล่านั้น ไขว่คว้าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า . “แล้วหันหลังให้ขุมทรัพย์ของชีวิตที่มีค่ามากที่สุดทรัพย์หนึ่ง ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่นคือสุขภาพของร่างกาย หากหัวใจเรายังรักตัวเองได้ไม่มากพอ เรามักเห็นสิ่งที่ตนเองไม่มีสำคัญกว่าสิ่งที่มีแล้ว จนวันหนึ่งเรากำลังจะสูญเสียสิ่งที่มีไป… Continue reading ๑๑ ข้อคิดคอลัมน์ ไกด์โลกจิต ประจำปี ๒๕๖๑
๘ วิธีเข้มแข็งจากภายใน ไม่ยากเลย (ตอนสอง)
๘ วิธีเข้มแข็งจากภายใน ไม่ยากเลย (ตอนสอง) ๕ อย่าพยายามหนีความจริงและความรับผิดชอบ : . ความเข้มแข็งที่แท้จริงเกิดจากการกล้าเผชิญหน้าด้วยใจยอมรับ ยิ่งเราพยายามหนีปัญหาและหาทางลัด บอกปัดความรับผิดชอบ หรือตีกรอบเป็นกำแพงด้วยความคิดและข้ออ้าง ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งทำให้จิตใจเราอ่อนแอลง . เพียงแค่เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรับผิดชอบ ตอนนั้นเราก็กล้าหาญมากแล้ว และมีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมไปกับพัฒนาตนเอง ต้องมีความกล้าเท่านั้นจึงจะยอมรับความจริงและรับผิดชอบได้ คนที่ไม่กล้ายอมรับและรับผิดชอบสิ่งต่างๆ คือคนที่ไม่อาจเห็นความเข้มแข็งในตนเองได้เลย . หากเราพยายามแต่จะปกป้องตนเองและหาทางลัด เราอาจรอดไปจากเหตุการณ์นั้นได้ชั่วคราว แต่เราจะไม่เติบโต ไม่รู้สึกภาคภูมิกับตนเอง และเกิดเรื่องเดิมขึ้น เราก็จะทุกข์อีกและมีแนวโน้มว่าจะซ้ำร้ายกว่าเดิม . เมื่อใจรู้สึกทุกข์ หากขาดสติแล้วใจก็มักจะพยายามหนีความทุกข์หรือสร้างกำแพงขึ้นมาห่อล้อมใจไว้ เป็นไปตามความเคยชิน แต่ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไขและตัวเราก็จะไม่เข้าใจความจริงของชีวิต เพราะปัญหาหรือทุกข์ที่เกิดขึ้นคือความจริง การยิ่งพยายามหนีจากทุกข์ยิ่งทำให้เราหลอกตัวเอง ทำมากเข้าก็หลอกตัวเองเป็นชั้นๆ ทับซ้อนจนเป็นเงื่อนปมซับซ้อน . การเข้มแข็งจากภายในเกิดจากการเคารพตนเอง ภาคภูมิใจในตนเองได้ ยิ่งเรายอมแพ้แก่ความอ่อนแอข้างใน วงจรการหลอกตัวเองและการพยายามหนีจากทุกข์ก็จะดำเนินต่อไป ย้ำความอ่อนแอแก่ใจมากขึ้นๆ เมื่อถึงที่สุดทุกข์ก็จะทุกข์ยิ่งกว่าที่เป็นจริง ด้วยใจที่ไม่ยอมรับความจริงนั้น . ความรับผิดชอบคือคุณสมบัติสำคัญของผู้มีความเข้มแข็งจากข้างใน ความรับผิดชอบนี้เกิดจากการรู้หน้าที่ แต่ก็เกิดจากการยอมรับความจริงที่เป็นด้วย เพราะยอมรับความจริงเท่านั้น เราจึงรู้ว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำสิ่งใด… Continue reading ๘ วิธีเข้มแข็งจากภายใน ไม่ยากเลย (ตอนสอง)
๘ วิธีเข้มแข็งจากภายใน ไม่ยากเลย (ตอนแรก)
๘ วิธีเข้มแข็งจากภายใน ไม่ยากเลย (ตอนแรก) บางครั้งเราต้องยิ้มแม้หัวใจกำลังร้องไห้ พยายามให้ภายนอกดูเข้มแข็งและสู้ต่อ แม้ภายในหวั่นไหวและเปราะบางเหลือเกิน บางครั้งเราก็หวังให้ตนเองมั่นคงกว่านี้ ไม่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกดังที่เคยเป็นมา เราต้องการความเข้มแข็งเพื่อยืนหยัดต่อความทุกข์ทั้งหลาย ซึ่งบางเวลามันดูเหมือนมากมายไม่รู้สิ้นสุด . เราไม่อาจพึ่งพาสิ่งนอกตัวให้เรามั่นใจและมั่นคงได้เสมอไป แม้สิ่งเหล่านั้นจะเคยวางใจได้ก็ตาม วันหนึ่งเราก็ต้องพบว่าตนเองอยู่ลำพัง บางครั้งเวลาก็มิได้ช่วยอะไร แต่เป็นใจเราที่เรียนรู้มากพอจะเติบโตจากสิ่งเหล่านั้น ให้เข้มแข็งมากพอที่จะพึ่งพาตนเองแล้วฝ่าข้าม เราเคยเข้มแข็งมากชนิดที่ไม่ต้องคอยวางแผนหรือกังวลกับสิ่งทั้งหลายมาก เมื่อตอนเป็นเด็ก เราจะนำความเข้มแข็งเหล่านั้นกลับมาได้อย่างไร . ความเข้มแข็งแบบหนึ่งเกิดขึ้นจากภายใน ขณะที่เรามักเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งด้วยการสร้างกำแพงและเกราะหนาห่อหุ้มตนเองมาตลอด เข้มแข็งจากภายนอก จนใจก็ลืมไปว่าตนเองมีความกล้าหาญข้างในอย่างไร กำแพงอาจต้านทานและกั้นขวางบางอย่างได้ แต่บ้านจะมั่นคง ต้องมีหลักข้างในที่แข็งแกร่ง ชีวิตและหัวใจเราเองจะมั่นคงได้ มิใช่ด้วยความเข้มแข็งจากภายนอกเท่านั้น . บทความตอนนี้แนะนำหนทางชุดหนึ่งเพื่อบ่มเพาะความเข้มแข็งอันเกิดจากภายในตัวเราเอง ไม่ยากเลย ขอเพียง… . . ๑ พาใจกลับมาที่ร่างกาย : เมื่อพบปัญหาหรือความทุกข์ใจ จิตมักถูกกระแสของความคิด คำพูด และเหตุการณ์ทั้งหลาย พัดพาล่องลอย ทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆ อย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ เหวี่ยงไปมา ประเดี๋ยวสุข ประเดี๋ยวทุกข์ พอมีสิ่งต่างๆ… Continue reading ๘ วิธีเข้มแข็งจากภายใน ไม่ยากเลย (ตอนแรก)