๕ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากเป็นทาสความคิด

    ๕ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากเป็นทาสความคิด   ๑ แม้ใช้เหตุผล ก็มีอารมณ์อยู่เบื้องหลัง : . เหตุใดการพูดคุยกันด้วยเหตุผลหรือการตัดสินใจด้วยเหตุผลจึงอาจไม่ได้ลดความทุกข์ในหัวใจ เหตุใดจึงมีความวุ่นวายในที่ๆ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ใช้เหตุผลของตนเอง เหตุใดคนเราจึงตกอยู่ภายใต้ความคิดดูที่มีเหตุผลเหลือเกินแต่ไม่ช่วยให้สถานการณ์และชีวิตดีขึ้น . ความล้มเหลวของการใช้ความคิด เริ่มจากการไม่รู้เท่าทันอารมณ์ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะเรามักคิดว่าตนเองนั้นใช้เหตุผลแล้ว แต่มักคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมฟังเหตุผลหรือทำตามอารมณ์อำเภอใจ โดยหารู้ไม่ว่า เราเองก็ไม่ได้ใช้เหตุผลอย่างแท้จริงเหมือนกัน เพราะความคิดมักถูกผลักดันด้วยอารมณ์ที่ไม่รู้สึกตัว . สังเกตได้ว่าเวลาอารมณ์ดี ความคิดและการใช้เหตุผลของเราจะเป็นอย่างหนึ่ง เวลาไหนอารมณ์ไม่ค่อยดี ความคิดและการใช้เหตุผลของเราอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แม้ในเรื่องเดียวกัน . ในทางจิตวิทยาเบื้องหลังพฤติกรรมและความคิดของมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึกซ่อนอยู่ข้างใต้เสมอ ทั้งอารมณ์ที่สังเกตได้ง่ายและสังเกตได้ยาก โดยเบื้องหลังของอารมณ์นั้นๆ ก็มักมีความต้องการพื้นฐาน (Need) เป็นเบื้องหลังอีกทีหนึ่ง . ดังนั้นแล้ว ความคิดก็เป็นเพียงเครื่องมือที่เราใช้เพื่อตอบสนองอารมณ์ของใจอันเนื่องมาจากความต้องการพื้นฐาน เราใช้ไปโดยอัตโนมัติ . ในทางพุทธศาสนาความคิดก็เป็นเพียงการปรุงแต่งขึ้น สืบเนื่องมาจากอารมณ์ ความจำได้หมายรู้ และการรับรู้ผ่านอายตนะเป็นที่มา เมื่อขาดสติแล้ว เหตุผลที่ว่าดี (สำหรับเรา) ก็เป็นเหมือนเรือที่ลอยลำอยู่บนน้ำ พร้อมที่จะแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์และการรับรู้ของเราเอง . อารมณ์ที่ว่านั้นมีทั้งลักษณะเป็นสุข (สุขเวทนา) เป็นทุกข์… Continue reading ๕ ข้อต้องรู้ ถ้าไม่อยากเป็นทาสความคิด

๙ วิธี ชนะข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” และหยุดเสียเวลาชีวิต

    ๙ วิธี ชนะข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” และหยุดเสียเวลาชีวิต   ภาค ปรับวิธีคิด . ๑ เรากำลังเผลอโทษสิ่งนอกตัวหรือไม่ : . การกล่าวว่า “ไม่มีเวลา” หรือ “ต้องใช้เวลามาก” เป็นการโทษสิ่งนอกตัว คือโทษเวลาหรือภาระทั้งหลาย นี่เป็นการบอกปัดความรับผิดชอบออกไปนอกตัว ทั้งที่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้เรา “ทำไม่ได้” หรือ “ไม่ได้ทำ” เกิดจากความเพียรมากน้อยของตนเอง และการบริหารจัดการชีวิต . การกล่าวโทษเวลาและภาระจึงยังเป็นการปฏิเสธตัวเองและความจริงที่ว่า เรายังมีความเกียจคร้านอยู่ เรายังมีความหลงอยู่ การกระทำของเราเองเป็นเหตุของความผิดพลาด มิใช่เวลาเป็นเหตุผลสำคัญ . หากเรามัวเฝ้าโทษเวลาน้อย และภาระต่างๆ อันเป็นของนอกตัวแล้ว เมื่อนั้นเราก็กำลังเสียเวลา เพราะไม่เรียนรู้และไม่สำนึกตนว่าเราต้องพัฒนาตนเอง ความผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นต่อไป จึงเป็นเหตุทำให้เสียเวลาไม่รู้จบ แม้เพียงแค่เรามีความเพียรมากขึ้นกว่านี้ โทษตนเองไม่โทษสิ่งนอกตัวเกินไป เราก็มีเวลามากขึ้นแล้ว เพราะเหตุที่จะทำให้เสียเวลาในวันหน้าได้ลดน้อยลง . ชีวิตของตัวเราเองคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง การใช้ชีวิตในแต่ละวันคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เวลาไม่ใช่สิ่งที่จะรับผิดชอบภาระต่างๆ ให้ได้ เราต้องเคารพตนเองให้มากพอ เป็นผู้ใหญ่ให้มากพอที่จะรู้ดูแลสิ่งต่างๆ ในขอบเขตที่ควร .… Continue reading ๙ วิธี ชนะข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” และหยุดเสียเวลาชีวิต

โฮโอโปโนโปโน

      “สี่คำนี้ทรงพลังในการรักษา I love you ฉันรักคุณ I am sorry ฉันขอโทษ Please forgive me โปรดให้อภัยฉัน Thank you ขอบคุณ   “โรเบิร์ต ดิว คิดค้น จากการสังเกตการทำงานนายแพทย์สแตนลี่ ฮิว ในหนังสือของ โจว วิทาลี ในโรงพยาบาล จากหนังสือ “zero limit” Forgiveness love your problem . “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำรัฐฮาวาย ซึ่งในโรงพยาบาลแห่งนี้มีแผนกจิตเวชที่รักษานักโทษโรคจิตขั้นร้ายแรงอยู่ คนไข้ที่มารักษาที่นี่มีประวัติที่สุดแสนอุกฉกรรจ์ มีทั้ง ฆาตรกรโรคจิต ฆาตรกรฆ่าข่มขืน ลักพาตัวฯลฯ ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษซึ่งถูกส่งตัวมารักษา บ้างก็ก่อนได้รับการพิจารณาโทษหรือในบางรายก็ถูกส่งตัวมาดูอาการว่าสามารถส่งพิจารณาความผิดได้หรือไม่ . “เป็นที่เล่าขานกันว่าสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปในแผนกนั้นทรุดโทรมย่ำแย่เหลือทน ผนังเก่าๆ สภาพห้องที่เหม็นอับ จนแพทย์พยาบาลทั้งหลายต่างไม่อยากที่จะแวะเวียนไปย่ำกรายที่แผนกนี้ พนักงานประจำต่างพากันลาป่วยเป็นว่าเล่น ประกอบกับความหวาดกลัวการถูกทำร้ายจากบรรดานักโทษทั้งหลายที่ได้ชื่อว่ามักจะทำร้ายนักโทษด้วยกันหรือแม้แต่ผู้คุมไม่เว้นแต่ละวัน… Continue reading โฮโอโปโนโปโน

จดหมายจากการพลัดพราก

    จดหมายจากการพลัดพราก 4 ข้อคิดความสูญเสียในพระไตรปิฎก   จิตของเราโดยธรรมชาติมีกลไกปกป้องตัวเองจากความทุกข์ต่างๆ เป็นการหนีบ้าง สู้บ้าง สยบยอมบ้าง ไม่ก็ชะงักงันไป เรียกว่าเป็นหลัก 4F (Fight Flight Freeze Fawn) หลักธรรมในพุทธศาสนาและคำสอนจากศาสนาและจิตวิทยาอันชอบด้วยธรรมอันดีแล้ว ย่อมช่วยขัดเกลาและโน้มน้าวพาใจกล้าหาญเผชิญกับทุกข์ อันเป็นความจริงของชีวิตที่หลีกหนีไม่ได้ ยิ่งหนียิ่งสู้ก็ยิ่งเป็นทุกข์ผูกรัดเป็นปมแก่ใจ . ปมในใจต่างๆ ของเรานั้นล้วนไม่ได้เกิดจากทุกขอริยสัจ หรือความจริงแห่งทุกข์แต่เกิดจากกลไกปกป้องตัวเองของเรานี่เอง ทำให้ทุกข์ตามธรรมชาติเป็นทุกข์ซ้ำซับซ้อน . “ทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์” * เป็นความเป็นไปที่เราต่างก็ต้องพบเจอ ไม่อยู่ในฐานะที่จะเปลี่ยนแปลงหรือหลบเลี่ยงได้ เมื่อใดจิตอยู่ในกลไกปกป้องตนเองสี่แบบอย่างขาดสติ จิตก็ยิ่งดิ้นรนจนทุกข์ทวี . จากกลไกปกป้องตนเองสี่แบบ บทความนี้ขอเชิญชวนเราใคร่ครวญในธรรมะสี่ข้อ ซึ่งเป็นข้อคิดจากพระไตรปิฎก ซึ่งเปรียบได้กับจดหมายจากการพลัดพรากส่งมาถึงเราเพื่อบอกกล่าวสิ่งเตือนใจและความเป็นจริงของชีวิตให้รับรู้ . . ๑ ที่สุดของการยึดถือคือการพลัดพราก : . “สิ่งใดที่เกิดแล้ว มีแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว… Continue reading จดหมายจากการพลัดพราก

๕ วิธีเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเองให้แก่เด็ก

    ๕ วิธีเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเองให้แก่เด็ก   ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) คือ การรู้เท่าทันตนและรับรู้กายใจตนเองอย่างมีสติ เป็นฐานสำคัญของการรู้จักตัวเอง (Self-Understanding) แล้วมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ การมีความสุขและความพึงพอใจในตนเอง ส่งเสริมการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม พัฒนาการเข้าสังคม และการรู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนเอง . สิ่งนี้เป็นเสมือนรากฐานที่จะช่วยให้เด็กๆ เติบโตอย่างมีความมั่นคงทางจิตใจ ใช้ชีวิตอย่างเห็นคุณค่าของตนและของสิ่งรอบข้าง ไม่ทำสิ่งที่บั่นทอนแก่ตนเองและผู้อื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ครูและผู้ปกครองจะต้องส่งเสริมให้เด็กๆ ได้มีความตระหนักรู้ในตนตั้งแต่ช่วงเยาว์วัย เพื่อให้เขารักตัวเองอย่างเหมาะสมต่อไป ซึ่งจะมีผลทำให้รักผู้คนและสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างเคารพในคุณค่าอีกด้วย . บทความนี้จึงจะบอกเล่าวิธีการบางส่วนเพิ่มเติมความตระหนักรู้ในตนให้แก่เด็กๆ ในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองของพวกเขาก็ดี หรือเป็นคุณครูก็ดี หรือเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ตาม . ๑ เป็นกระจกให้แก่พวกเขา : . ทักษะการให้ Feedback หรือการสะท้อนและให้คำแนะนำ เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้ปกครองและครู ซึ่งเป็นเสมือนตัวช่วยให้พวกเขาสังเกตตนเองอย่างชัดเจนคล้ายเป็นการสร้างกระจกให้แก่เด็กๆ ได้ทบทวนย้อนดูตนเองและสิ่งที่พวกเขาทำ ผ่านคำพูดจากตัวเราสะท้อนตัวเขาและเสนอแนะเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเป็นและทำ . การสะท้อนเด็กๆ ที่ดีนั้นมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ ๓ ประการด้วยกัน ได้แก่ เฉพาะเจาะจงและแสดงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น , ชมเชยคุณสมบัติแต่ไม่มากเกินไป และ แยกแยะความรู้สึกออกจากพฤติกรรมและความคิด .… Continue reading ๕ วิธีเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเองให้แก่เด็ก

๗ ข้อคิดเรื่องความโกรธ จากพระพุทธเจ้า

      ๗ ข้อคิดเรื่องความโกรธ จากพระพุทธเจ้า   ความโกรธ มักเป็นอารมณ์ที่เราอยากให้คนอื่นแก้ไข แต่มักไม่ค่อยสังเกตและแก้ไขในตนเอง ธรรมะและข้อคิดเรื่องความโกรธไม่เพียงเหมาะแก่ผู้มักโกรธหรือหัวเสียบ่อยเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับเราที่หัวเสียไม่บ่อยด้วย ทั้งชีวิตที่มิค่อยแสดงความโกรธ แต่เพียงกระทำตามความโกรธแค่ครั้งเดียวก็อาจส่งผลต่อชีวิตชนิดที่ไม่อาจย้อนคืน . . ๑ ความโกรธมีหลายระดับและลักษณะ : . การที่เราจะรู้ทันและดูแลความโกรธเป็น เราต้องเข้าใจก่อนว่าความโกรธนั้นมีหลายแบบหลายระดับด้วยกัน บางครั้งเราปฏิเสธว่านี่มิใช่ความโกรธ แค่หงุดหงิด รำคาญ ดังพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า . “ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขัดเคือง ความขุ่นเคือง ความเคือง ความเคืองทั่ว ความเคืองเสมอ ความชัง ความชังทั่ว ความชังเสมอ ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ความเป็นผู้โกรธ ความชัง กิริยาที่ชัง ความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ดุร้าย ความเพาะวาจาชั่ว ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต นี้เรียกว่า ความโกรธ.”… Continue reading ๗ ข้อคิดเรื่องความโกรธ จากพระพุทธเจ้า

แก้ง่วง (และใจห่อเหี่ยว) ด้วย ๘ วิธี ๓ คำแนะนำจากพระพุทธเจ้า

    แก้ง่วง (และใจห่อเหี่ยว) ด้วย ๘ วิธี ๓ คำแนะนำจากพระพุทธเจ้า   ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นพระโมคคัลลานะนั่งโงกง่วงอยู่ จึงทรงปรากฏตรงหน้าให้รู้สึกตัว แล้วทรงตรัสถามด้วยความใส่ใจและให้ข้อแนะนำวิธีแก้อาการง่วงดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งมิใช่มีประโยชน์แต่เพียงพระโมคคัลลานะเท่านั้น แต่ยังเป็นเทคนิควิธีการที่ใช้ได้แก่ตัวเราเองในการทำงาน การเรียน และการปฏิบัติธรรมอีกด้วย . แบ่งวิธีแก้อาการง่วงและใจห่อเหี่ยวที่ท่านทรงตรัสเป็น ๘ ข้อดังนี้ * โดยไล่เรียงตามลำดับคำแนะนำ หากวิธีการลำดับต้นใช้ไม่ได้ผล ก็ให้ใช้วิธีการลำดับถัดมา  เนื่องด้วยความง่วงเป็นนิวรณ์หรือเมฆหมอกที่ห่อคลุมใจ กลุ่มเดียวกันกับความห่อเหี่ยว หมดพลัง และเศร้าใจ เรียกว่า ถีนมิทธะ คำแนะนำบางประการหลังจากนี้จึงสามารถใช้เพื่อโน้มน้าวจิตให้ตื่นขึ้นจากความห่อเหี่ยว หมดพลัง และเศร้าใจได้ด้วยเช่นกัน . . ๑ พิจารณา สัญญา คือความจำได้หมายรู้และสิ่งนองเนื่องแห่งจิต สำรวจตรวจใจตนเองว่าภายในมีความนึกคิดและเมล็ดพันธุ์แห่งจิตอะไรที่ก่อตัวความง่วงและความห่อเหี่ยวขึ้น เช่นหากชีวิตช่วงนี้เราเอาแต่คิดว่า การงานช่างน่าเบื่อเหลือเกิน , ตัวฉันทำอะไรก็ไม่ดี , ฉันไม่ชอบสิ่งนี้เลย เป็นต้น ความนึกคิดเช่นนี้ใน สัญญา ก็จะเป็นส่วนก่อตัวความง่วงและห่อเหี่ยวแก่ใจ . ๒ ระลึกถึง ธรรมะที่ได้เล่าเรียนมา… Continue reading แก้ง่วง (และใจห่อเหี่ยว) ด้วย ๘ วิธี ๓ คำแนะนำจากพระพุทธเจ้า

๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนสอง)

    ๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนสอง)   ๖ ระวังจิตถูกยึดอำนาจ : . ประชาธิปไตยภายนอก ได้ผู้นำจากการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยภายใน จิตได้ผู้นำจากสติ สำนึกคือผู้ปกครอง ท่ามกลางบุคลิกภาพย่อยหรือตัวตนอันหลากหลายเป็นประชาชน ในตัวเราประกอบด้วยตัวตนมากมาย แต่ละตัวตนคือชุดของความคิด ซึ่งประกอบไปด้วยความต้องการ ความเคยชิน ความเชื่อ และความรู้สึก ต่างผลัดกันทำหน้าที่ขึ้นมาครองเก้าอี้จิตสำนึก เป็นนายกผู้ปกครองเมืองหลวงของจิตใจ ขึ้นชื่อว่าการเมืองแล้วย่อมมีความวุ่นสลับกับความว่าง ตัวนั้นตัวตนนี้ผลัดเปลี่ยนกันมามีอำนาจ เฉกเช่นสภาพสังคมภายนอกใจ . อำนาจภายนอกขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก อำนาจภายในขึ้นอยู่กับปัจจัยภายใน เมื่อใดอำนาจขาดเสถียรภาพ การเมืองย่อมสั่นคลอน มิว่าเรื่องภายนอกตัวหรือภายในจิตใจตนเอง เมื่อใดการปกครองสุดโต่งหรือขาดสติ เมื่อนั้นย่อมเกิดการปลุกปั่นและขบวนการเพื่อหวังพลิกขั้วอำนาจ เป็นธรรมชาติดังลูกตุ้ม เมื่อเหวี่ยงไปในฝั่งใดถึงที่สุด ก็จะรุดรีบผันกลับมาอีกฝ่าย ทั้งอำนาจภายนอกและภายใน ต่างมั่นคงแข็งแรงที่สุดเมื่ออยู่ตรงกลาง นั่นคือภาวะทางการเมืองที่ว่างจากความวุ่นมากที่สุด . จิตของเราเมื่อวันใดถูกครอบงำด้วยอารมณ์อย่างหนึ่งมากเกินไปแล้ว ย่อมมีแนวโน้มที่เราจะดิ้นรนเหวี่ยงแกว่งไปยังอีกขั้วหนึ่ง มิใช่เฉพาะคนมีปัญหาทางจิตใจที่จะมีสองขั้วสลับไปมาเท่านั้น แต่เราทุกคนต่างมีสองฝ่ายและมากกว่า พลิกข้างกลับไปกลับมาอยู่เสมอ . เมื่อใดใจเราถูกความเกียจคร้านยึดอำนาจ นานวันเข้า ตัวตนอื่นๆ ภายในก็จะเรียกร้องประท้วงเราให้ขยันขันแข็ง แต่แล้วก็เหวี่ยงแกว่งไปยังความกลุ้มกังวลใจ กลัวทำไม่ได้ กลัวทำไม่เสร็จ… Continue reading ๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนสอง)

๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนแรก)

    ๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนแรก)     การเมืองมิใช่เรื่องนอกตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องภายในตัวเราอีกด้วย ความขัดแย้งภายในจิตใจ เงื่อนปม ความคิด อารมณ์ และความสัมพันธ์ต่อตนเองด้านต่างๆ ทางจิตวิทยา เป็นเรื่องการเมืองของกายจิตดีๆ นี่เอง เปรียบเสมือนโลกหรือสังคมขนาดใหญ่ที่จะมีภาวะเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไร อยู่ที่การปกครองและองค์ประกอบน้อยใหญ่ของโลกภายในแห่งนี้ . บทความนี้นำเสนอ ๙ ข้อซึ่งเป็นแง่คิดและคำถามชวนเรากลับมาสังเกตดูตนเองว่า ในกายจิตเราเป็นประชาธิปไตยหรือไม่อย่างไร แล้วการเมืองภายในนี้ส่งผลต่อโลกรอบตัวเราอย่างไรบ้าง เพื่อการอยู่กับตนและผู้อื่นอย่างสันติในธรรม . . ๑ ร่างกายและจิตใจคือสังคมขนาดใหญ่ : . ก่อนที่เราจะเข้าใจว่าประชาธิปไตยในตัวเราเองนั้นคืออะไร เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในร่างกายและจิตใจนี้เป็นสังคมอย่างไร เราทราบดีว่า ร่างกายประกอบด้วยระบบน้อยใหญ่ต่างๆ มากมาย ทั้งแต่อวัยวะ ประสาท เลือด กล้ามเนื้อ เล็กลงไปถึงเซลล์ ทั้งหมดทำงานดังสังคมขนาดใหญ่ที่ต่างฝ่ายมีบทบาทโยงใยต่อกันและกัน . มีระบบภูมิคุ้มกันเป็นกระทรวงกลาโหม โดยมีเม็ดเลือดขาวเป็นทหารหาญ มีเส้นประสาทเป็นระบบราชการโยงใยไปทั่วมณฑล มีสมองเป็นศูนย์ราชการ และส่วนต่างๆ ดังกระทรวงทบวงกรมอีกหลากหลาย . ในจิตใจเองก็มีกลไกต่างๆ อาทิ กลไกปกป้องตัวเอง… Continue reading ๙ แง่คิดประชาธิปไตยในกายจิต (ตอนแรก)

สร้าง “วันว่าง” ด้วยการ “วาง”

    สร้าง “วันว่าง” ด้วยการ “วาง” [ คอลัมน์ ไกด์โลกจิต ตอนที่ ๓๙ ]   บ่อยครั้งที่เรารอทำสิ่งที่ดีให้แก่ตนเอง หรือสิ่งที่มีคุณค่าแก่คนอื่นๆ เมื่อมี “วันว่าง” รอให้มีวันแบบนี้ก่อน บอกแก่ตนเองและคนอื่น แต่บ่อยครั้งที่ “วันว่าง” ได้มาถึง เรากลับ “ไม่ว่าง” พอที่จะทำในสิ่งที่ดีเหล่านั้นอย่างที่พูดไว้ . บทความนี้เป็นการแนะนำข้อคิด ๕ ประการ เพื่อสร้างวันว่างด้วยตนเอง ไม่ต้องรอ และเพื่อความเข้าใจต่อวันว่างที่ถูกต้องอีกด้วย . . ๑ วางใจ : การมีเวลาว่างพอที่จะทำในสิ่งต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าเราวางใจไว้อย่างไร . นึกถึงตอนที่สิ่งสำคัญของตนจู่ๆ ก็หายไปหาไม่เจอ แม้ตอนนั้นเราอาจกำลังยุ่งหรือมีธุระ ใจเราอาจคิดค้นหาเสียก่อนจะทำอะไรอย่างอื่น หรือเมื่อตอนคนที่เราห่วงใยกำลังป่วยหรือเป็นทุกข์กะทันหัน ต่อให้ตอนนั้นเรากำลังมีงานหรือ ไม่ว่าง เราก็สามารถหาหนทางดูแลอีกฝ่ายได้ . ต่อให้แม้ไม่ใช่วันว่างหรือเวลาว่าง แต่หากเราวางใจไว้ว่า สิ่งใดสำคัญต่อเรามากๆ แล้ว เราย่อมสามารถแบ่งเวลาและหาหนทางจัดการมันได้… Continue reading สร้าง “วันว่าง” ด้วยการ “วาง”