8 คุณค่าที่เรามีดั่ง “แม่” (ตอนแรก)

        8 คุณค่าที่เรามีดั่ง “แม่” (ตอนแรก)     ในลมหายใจนี้มีแม่อยู่เสมอ เมื่อเราหันหลับมาให้สิ่งที่ดีแก่หัวใจตนเอง หัวใจของแม่ก็ได้รับด้วยเช่นกัน เมื่อใดที่เรารู้รักตัวเองอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเรากำลังแสดงความกตัญญูและรักแก่แม่เราด้วย เมื่อใดก็ตามที่จิตใส่ใจลมหายใจ เรากำลังให้ความเคารพกับชีวิตที่เราได้รับมา ร่างกายนี้ส่วนหนึ่งเดินทางมาจากท่าน เราทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวของกันอยู่เสมอ ไม่ว่าท่านอยู่ไกลจากเราเพียงไหน หรือกำแพงหนึ่งใดกั้นใจของเราเป็นบางคราวก็ตาม . การระลึกถึงพระคุณแม่นั้น มิใช่เพียงให้เราได้แสดงความรักและความเคารพเท่านั้น แต่เพื่อให้เราตั้งใจน้อมนำสิ่งที่ดีแบบท่าน ซึ่งซ่อนอยู่ในตัวเราด้วยเช่นกัน ทำให้ได้ดั่งท่าน และน้อมนำมาเป็นแบบอย่าง . มิว่าเราเป็นชายหรือหญิง คุณสมบัติและคุณค่าที่ดีในความเป็นแม่ ต่างเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เมื่อใดที่เราเพาะบ่มเมล็ดเหล่านี้และปลูกมันลงบนแผ่นดินของชีวิต เรากำลังทำหน้าที่ลูกด้วยการนำของขวัญที่ดีที่สุดจากแม่ มอบให้แก่ตนเองและผู้คนรอบข้าง . บทความนี้เป็นตอนแรกของหัวข้อ คุณค่าที่เรามีดั่ง “แม่” ผู้อ่านคนใดต้องการแลกเปลี่ยนข้อคิดและความรู้สึกอื่นๆ นอกเหนือจากเนื้อหาดังต่อไปนี้ สามารถแบ่งปันกันได้ตามช่องทางที่เหมาะสม . . 1 เราทุกคนคือผู้ให้กำเนิด ผู้มอบของขวัญแก่โลกใบนี้ : พระคุณของแม่ที่ล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งคือการมอบโอกาสให้เรามีลมหายใจบนโลก ให้กำเนิดเด็กน้อยคนนี้ย่างก้าวบนผืนแผ่นดินเพื่อมอบดอกไม้นานาคืนแก่ผืนดินเกิดในวันข้างหน้า . ในความเป็นแม่นั้นมีพลังสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นเหมือนศิลปินที่วาดตัวเราขึ้นมา ดุจงานศิลป์ที่มีสีสันหลากหลาย ความสร้างสรรค์นี้เองก็มีอยู่ในตัวลูกเช่นกัน… Continue reading 8 คุณค่าที่เรามีดั่ง “แม่” (ตอนแรก)

5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต (ตอนที่สอง)

    5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต #ไม่ต้องเข้าคอร์สหรูก็รู้ได้ (ตอนที่สอง) หนทางไม่เคยมืดมน ยกเว้นเราจะ “ปิดตา” ตนเสียเอง เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับเมล็ดพันธุ์หรือศักยภาพที่ไม่จำกัด ยกเว้นเราจะ “ปิดกั้น” ตนไว้ด้วยความเชื่อว่า …ฉันทำไม่ได้… หรือ …ฉันเป็นแค่… . เมื่อเรา “ปิดใจ” ต่อตัวเอง ปีกที่ซ่อนอยู่ในตัวเราก็ไร้โอกาสได้กางออก เราจึงรู้สึกว่าชีวิตไม่มีหนทางเลือกเอาเสียเลย ทั้งที่เราเป็นผู้เลือกหันหลังให้ . เราอาจมีวันสับสน แต่ไม่มีวันอับจน ตราบใดใจไม่ “ปิดประตู” ทางออกไว้ด้วยการคิดและความเชื่อที่เฝ้าย้ำตอกตำชีวิตจนตรอก ทางออกอยู่ที่ใจเราเสมอ อำนาจวิเศษและการอบรมสะกดจิตใดใด เพียงชี้ทางหวนกลับมาที่ใจของเรา . อย่า “ปิดบัง” ตัวเองจากความจริง และสิ่งที่เราทำได้แม้ไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยการตัดสินและการคาดคั้น ให้ชีวิตเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างให้เราหายใจและกางปีกของตนออกได้ อยู่อย่างไรจึงมีความหมายโดยไม่ต้องมีเงื่อนไข มิใช่ให้ชีวิตคือพื้นที่ “ปิดฉาก” ลมหายใจด้วยข้อผูกรัดที่เราคล้องหัวใจตนเอง . บทความนี้นำเสนอต่อเนื่องอีกสองข้อสุดท้ายจากตอนที่ผ่านมา เป็นข้อคิดเพื่อการเปลี่ยนความเชื่อและความคิด เพื่อเปลี่ยนชีวิตของเรา ผ่านส่วนหนึ่งของแก่นความรู้การสะกดจิตและพลังแห่งจิตใจ มิว่าคอร์สราคาแพงหรือการอบรมเพื่อการกุศลต่างมีหลักการร่วมอย่างเดียวกัน ผู้อ่านคนใดต้องการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพิ่มเติมในหัวเรื่องเดียวกันนี้อย่างไรก็สามารถบอกเล่าได้ตามช่องทางที่เหมาะสม . .… Continue reading 5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต (ตอนที่สอง)

5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต (ตอนแรก)

    5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต #ไม่ต้องเข้าคอร์สหรูก็รู้ได้   (ตอนแรก) เผยเบื้องหลังคอร์สสะกดจิต อำนาจที่เรามีอยู่แล้วในตนเอง ไม่ว่าเราเข้าอบรมคอร์สถูก คอร์สแพง หรือเรียนด้วยตนเอง หากเข้าใจแก่นหลักอย่างถ่องแท้ เราย่อมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจการสะกดจิตจากใคร แม้แต่สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในตัวเองก็ตาม . บ่อยครั้งที่เราใช้ชีวิตอย่างหุ่นชักใย เราไม่มีอิสระและความสุขอย่างแท้จริง ถูกชักพาไปทางโน้นทางนี้ที เดี๋ยวก็เป็นความคาดหวังจากคนอื่น เดี๋ยวก็สิ่งกระตุ้นเย้าแหย่จากสื่อหลายๆ ทาง หรือบางครั้งเราอาจนึกสงสัยว่า เพราะอะไรเราจึงทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้เต็มที่ หรือเหตุใดชีวิตถึงต้องมาติดอยู่แบบนี้ เราถูกผูกมัดด้วยหลายสิ่ง โดยเฉพาะข้างในตัวเราเอง . คนต่างต้องการ “อิสรภาพ” และความสุข แต่หัวใจกลับพาทำสิ่งที่ตรงข้าม สร้าง “เงื่อนไข” มากมายให้แก่ตัวเองเพื่อจะมีความสุข แต่ผลยิ่งทำให้เราไกลจากความพอใจในตนเองมากขึ้นทุกที จนกว่าเราจะหันหลับมาดูแล นัก “สะกด” จิตในตัวเอง ที่ “สกัด” กั้นศักยภาพและอำนาจที่มีอยู่แล้ว . อำนาจที่จะมีความสุขและอิสระอยู่ใจเราเสมอ . บทความนี้นำเสนอ 3 ข้อคิดแรกซึ่งเป็นทั้งแง่คิดและวิธีการ ก้าวข้ามพ้นไปจากขอบความเชื่อที่ตนติดอยู่ หากผู้อ่านมีข้อคิดเห็นหรือมีเทคนิคใดเพิ่มเติมจากบทความ สามารถแลกเปลี่ยนได้ตามช่องทางที่เหมาะสม .… Continue reading 5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต (ตอนแรก)

7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนที่สอง)

    7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนที่สอง)   เราจะเป็นคนที่เปี่ยมด้วย “คุณค่าชีวิต” ตน หรือผู้ที่เป็น “คุณฆ่าชีวิต” ตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้ครอบครองสิ่งที่เราและคนอื่น “เห็นค่า” มากเพียงใด ในทางกลับกันยิ่งเราถือครองเป็นเจ้าของและเป็นตัวตน ยิ่งสูงยิ่งมากเข้าก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น เพราะนั่นทำให้เรา “เป็นข้า” หรือทาสแก่สิ่งเหล่านั้น รวมทั้งแก่กิเลส ซึ่งเปรียบเสมือนรูรั่วของหัวใจ ต่อให้เราประสบความสำเร็จและวิ่งไล่ตามทันดวงดาวของสังคม เราก็ไม่สุขอย่างแท้จริง ยิ่งโหยหายิ่งรู้สึกขาดแคลน แม้จะมีชื่อเสียงในสังคมเพียงใดก็ตาม . การมีคุณค่าในชีวิต เป็นคนละเรื่องกับความสำเร็จ และไม่เกี่ยวข้องกับการมีลาภ ยศ และสรรเสริญ ไม่ว่าทางสังคมหรือทางจิตใจ เหล่านั้นเป็นความพอใจชั่วคราวเท่านั้น คนรวยและผู้มีความสำเร็จสูงส่ง น้อยนักที่มีความสุขและความสงบอย่างแท้จริงในชีวิต แต่มักกลบเกลื่อนความรู้สึกขาดพร่องในตนเอง ด้วยทำสิ่งต่างๆ ที่พาให้คนอื่นอยากคล้อยตาม ซึ่งก็กำลังตามหาสิ่งที่เป็นคุณค่าแท้ของชีวิตด้วยเช่นกัน . เราจะรู้สึกถึงคุณค่าในตนเองอย่างจริงจัง เราต้องกลับมารู้จักตนเองเท่านั้น มิใช่ไขว่คว้าอำนาจวิเศษจากสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่นแต่อย่างไร ดั่งการจะเห็นคุณค่าในหนังสือเล่มหนึ่ง เราต้องพลิกอ่านบทแล้วบทเล่า ต้องมองตนให้รอบด้านและหยั่งลึกกว่าผิวเผิน เราจึงจะเข้าใจตัวเองจนนำมาสู่การรักตนอย่างเต็มเปี่ยม ชนิดที่เงินเท่าใดก็ไม่อาจซื้อหาได้ . บทความนี้ เป็นตอนสุดท้ายของหัวเรื่อง คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน”… Continue reading 7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนที่สอง)

7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนแรก)

    7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนแรก) หลายครั้งที่เราใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้คำนึง “คุณค่า” ของตัวเรา แต่ใช้ชีวิตดั่ง “คุณฆ่า” ตัวเอง ด้วยการใฝ่หวังสิ่งที่บั่นทอน หรือลดเลี้ยวหนทางชีวิตไปยังทิศที่ไม่เหมาะสม ทั้งการเฝ้าเติมเต็มหรือตักตวงใส่ตัวตน แต่ยิ่งเปล่ากลวงมิเห็นค่า เพราะคุณค่ามิใช่สิ่งที่เราได้มาจากภายนอกตัว ทว่าบ่มเพาะก่อเกิดจากข้างใน . จะเห็น “ค่าชีวิต” เราต้องกลับมามองสบตากับตัวเอง ที่ผ่านมาเรามองไปยังสิ่งต่างๆ นอกตัวเกินไป จึงหลายครั้งสิ่งที่ทำไม่ได้ “สอดคล้อง” กับคุณค่าของตนเลย แต่เป็นการ “ผูกรัด” ให้ตัวเองขาดความมั่นคงอย่างแท้จริง กับคุณค่าปลอมและสิ่งฉาบฉวย จน “ฆ่าชีวิต” เราทีละวันละวัน . ต่อไปนี้คือข้อคิดและมุมมอง คุณค่าชีวิตเราที่มีเหมือนดวงตะวัน โดยเป็นสามข้อแรกของบทความ หากผู้อ่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม หรือบทเรียนรู้คุณค่าตัวเองเฉกเช่นดวงตะวันนอกเหนือที่บทความกล่าวถึง ก็สามารถแลกเปลี่ยนและต่อยอดตามช่องทางที่เหมาะสม . . 1 ใครชอบใครชัง แสงตะวันไม่เปลี่ยนแปลง : มิว่าคนอื่นจะรักหรือรังเกียจเรา คุณค่าชีวิตที่เรามีนั้นมิเคยเปลี่ยนแปลง ไม่เคยมากขึ้นหรือลดลงเลย เหมือนการทำหน้าที่ของดวงตะวันทุกๆ วัน ย่อมมีบ้างที่คนเราจะตำหนิ หรือชื่นชมยินดีกับแสงสว่างและความร้อนจากบนฟากฟ้า แต่เสียงจากคนเรานั้นก็ไม่เคยส่งผลให้การทำหน้าที่ของตะวันผันแปร… Continue reading 7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนแรก)

5 ข้อคิดการริเริ่มจาก “ผีเสื้อ” (ตอนที่สอง)

      5 ข้อคิดการริเริ่มจาก “ผีเสื้อ” (ตอนที่สอง)     เราทุกคนต่างเป็นมากกว่าที่เราคิด เป็นมากกว่าที่เราเชื่อ แต่โชคร้ายที่หลายครั้งเราจำกัดตัวเองไว้ในกรอบความคิดและความคุ้นเคยชิน จนบดบังอำพรางสิ่งที่เราเป็นแท้จริงอยู่ข้างใน บ่อยครั้งที่เราตัดสินตัวเองเหมือนตัดสินหนอนแก้วตัวหนึ่งว่ามันไม่อาจมีชีวิตที่บินได้ . ชีวิตของผีเสื้อ เป็นตัวอย่างของการรู้จักตน และมอบบทเรียนการเริ่มต้นให้แก่ชีวิตมนุษย์ บทความหัวข้อนี้ริเริ่มชวนเราผู้อ่าน ย้อนมองรอยทางของเขา จากชีวิตหนอนผู้คืบคลาน สู่ผีเสื้อที่ขยับปีกอันแสนสวย ไม่ได้พยายามเป็นอย่างใครอื่น แต่พยายามเป็นอย่างที่ตนเองเป็นจริง เผยคุณค่าและความงามจากข้างในสู่ภายนอก . ขณะที่เราใช้ชีวิต เพียงเพื่อพยายามจะเป็นคนอื่น เราอาจไม่มีวันได้พบความสุขแท้ได้เลยในปัจจุบัน หากเรารู้สึกว่าตนเองกำลังใช้ชีวิตและทำงานไปอย่างเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย เราอาจต้องกลับมาตั้งคำถามที่สำคัญแก่ตนเองได้แล้วว่า อะไรคือสิ่งที่เราควรจะริเริ่มเพื่อชีวิตอย่างที่ควรเป็นอย่างแท้จริง . นอกเหนือจาก 5 ข้อคิดการริเริ่มดังบทความทั้งสองตอนนี้ ผู้อ่านคนใดเห็นข้อคิดอื่นๆ หรือต้องการแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมก็สามารถร่วมแชร์และบอกเล่าผ่านช่องทางที่เหมาะสม . . ข้อที่ 3 กล้าทิ้งจึงเกิดใหม่ : หลังจากผ่านช่วงฟูมฟักในดักแด้ หยุดนิ่งอยู่กับตนจนเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง หัวของเขาค่อยๆ ดันคราบดักแด้ ทะลุเปลือกขึ้นจากด้านบน ปีกที่พัดเป็นจีบดันออกเบื้องหลัง ค่อยๆ คลี่คลายปีกงามออกช้าๆ ด้วยความช่วยเหลือจากแรงดึงดูดของโลกและการผลักดันของของเหลวในร่างกาย แล้วผีเสื้อก็ปรากฏจากหนอนแก้ว .… Continue reading 5 ข้อคิดการริเริ่มจาก “ผีเสื้อ” (ตอนที่สอง)

5 ข้อคิดการริเริ่มจาก “ผีเสื้อ” (ตอนแรก)

    5 ข้อคิดการริเริ่มจาก “ผีเสื้อ” (ตอนแรก) ชีวิตที่ไม่รู้จักการเริ่มต้น นั้นไม่ใช่ชีวิต เพราะแม้แต่ลมหายใจ เรายังเริ่มต้นใหม่ทุกวันและแทบทุกนาที ชีวิตจึงเป็นการเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ ทุกเช้าเราตื่นขึ้นด้วยความหวังหรือความเบื่อหน่าย แต่ใจเรานี่แหละที่จะเป็นตัวยืนยันว่าเราได้ใช้โอกาสเริ่มต้นใหม่ในทุกๆ วันอย่างมีค่าแล้วหรือยัง . การเริ่มต้นใดใดย่อมพบเจออุปสรรคและความท้อใจได้เป็นธรรมดา แล้วคนเราจำนวนมากก็มักท้อใจ ตัดสินตน เสียแต่ยังไม่เริ่มต้นก็มีมาก ปิดประตูตายเสียตั้งแต่ยังไม่ก้าวขาออก บ้างเพียงสองสามก้าวก็พลอยหมดกำลังใจเสียแล้ว . ในธรรมชาตินั้นมีบทเรียนของการเริ่มต้นอยู่มากมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่ไร้การเปลี่ยนแปลง ฤดูกาลก็หมุนเวียน ต้นไม้ผลัดใบและงอกงามใหม่ มดแมลงโยกย้ายหาที่อยู่เมื่อบ้านเก่าวอดวาย ชีวิตคนเรามีจังหวะก้าวเดินแตกต่างกัน แต่ย่อมมีจุดเปลี่ยนจุดเลี้ยวเพื่อตั้งต้นใหม่ หากเราใช้ช่วงเวลานั้นได้ดี ชีวิตก็เหมือนติดปีกบินออกไปจากจุดเดิม แต่บางครั้งเราก็กลัวและกังวลจนลืมว่าเรามีปีกอยู่ในตนเอง . บทความนี้จะนำเสนอข้อคิดจากการสังเกตผีเสื้อ ซึ่งสอนใจเราและแนะนำแนวทางเกี่ยวกับเริ่มต้นใหม่และการริเริ่มต่างๆ ของชีวิตคน ซึ่งผู้อ่านหากมีความคิดเห็นหรือแรงบันดาลใจเพิ่มเติมก็สามารถแลกเปลี่ยนแบ่งปันได้ตามช่องทางที่สะดวก . . ข้อที่ 1 ช้าก่อนแล้วจึงเร็ว : กว่าผีเสื้อจะเป็นผีเสื้อได้นั้น เขาจะต้องเป็นหนอนเสียก่อน คลานต้วมเตี้ยม เชื่องช้า ดูไม่มีวี่แววจะบินได้เลย การเริ่มต้นใหม่และการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ของเราก็เช่นเดียวกัน . เมื่อเราเริ่มต้นสิ่งใหม่ในชีวิตหรือกระทั่งเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราอาจพบว่าสิ่งต่างๆ มันช่างเชื่องช้าไม่ได้ดั่งใจ อาจไม่มีวี่แววชัดเจนเลยว่าจะล้มเหลวหรือก้าวหน้าได้เพียงใด… Continue reading 5 ข้อคิดการริเริ่มจาก “ผีเสื้อ” (ตอนแรก)

7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สาม)

      7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สาม) คนเราหลายคนใช้ชีวิตเหมือนฝันกลางวันโดยไม่รู้ตัว บางครั้งหนึ่งวันก็จบลงอย่างไม่มีความหมายแตกต่างจากวันก่อนๆ ตื่นขึ้นไม่นาน หนึ่งวันก็จบลงอย่างว่างเปล่าและบ้างก็เหนื่อยล้า ใจบางทีก็ฝันหรือหวังในสิ่งที่ไกลแสนไกล และแปลกแยกกับชีวิตวันนี้ของตนเอง . บทความวิธีเลิกฝันกลางวัน จึงเป็นหัวข้อที่ชวนคิดชวนทบทวนชีวิต เรากำลังใช้ชีวิตอย่างฝันไป หรือใช้ชีวิตอย่างตื่นขึ้น เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างสองอย่างนี้ คือการมีสติและเห็นคุณค่าในชีวิตปัจจุบัน แล้วเราทำสิ่งต่างๆ อย่างมีคุณค่าสอดคล้องและเหมาะสมหรือไม่ . บางคนรู้สึกว่าชีวิตไม่มีตัวเลือกหรือทางเลือกเลย แต่ไม่ยอมลงมือทำเพื่อสร้างทางเลือกนั้นขึ้นมา เพราะจำกัดตัวเองอยู่ในความคิด และการยอมจำนน บางคนรู้สึกว่าตัวเองมีตัวเลือกมากมาย แต่กลับไม่อาจแน่ใจว่าทิศทางใดควรก้าวไป . บางชีวิตฝันกลางวันอยู่กับคุณค่าปลอมของชีวิต โหยหาไขว่คว้าสิ่งที่ไม่อาจทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ได้มาอย่างไม่อาจเติมเต็มหัวใจ หรือคอยเที่ยวเทียวนำตนเปรียบเทียบกับใครๆ แต่ไม่เคยมีความพอใจกับตนเอง . บทความสองตอนแรก ได้แนะนำเราเกี่ยวกับการหยุดชีวิตฝันกลางวันแล้วจดจ่อกับคุณค่าที่เราพึงมีตรงหน้า ผ่านการลงมือทำและเปลี่ยนวิธีคิด สองข้อต่อไปนี้เป็นการปิดท้าย ผู้อ่านคนใดมีข้อคิดใดแลกเปลี่ยนกันเพิ่มเติมก็ขอเชิญตามช่องทางที่สะดวก และสามารถอ่านสองตอนแรกได้ตามลิงค์ท้ายบทความ . 6 มองเล็ก ทำน้อย แต่ลงลึก : มีมากก็ใช่ว่าจะดี ทำเยอะมากใช่ว่าจะเกิดผล คนเรามักโฟกัสสิ่งที่ใหญ่และเยอะ เพราะเห็นง่ายเตะตาต้องใจ แต่ความเยอะและใหญ่ไม่เคยประกันคุณภาพและความสุข .… Continue reading 7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สาม)

7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สอง)

      7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สอง) บ่อยครั้งที่เราคิดว่า เวลามีไม่พอ หรือ ความสามารถมีไม่พอ แต่สิ่งที่จำกัดเราจริงๆ ก็มิใช่เวลาหรือความสามารถแต่เป็นความคิดเหล่านี้ ไม่มีใครในโลกนี้ที่มีเวลามากกว่าเรา ต่อให้เป็นยาจกหรือเศรษฐี และก็ไม่มีใครสามารถมากไปกว่าเรา มีเพียงแต่ผู้ที่ฝึกฝนมากในด้านใดมากกว่าเราเท่านั้น . การที่เราจำกัดตัวเองอยู่ด้วยความคิดและการใช้ชีวิตนั้น ส่งผลให้เราฝันกลางวันถึงความอยากได้ อยากเป็น และกลุ้มกังวลใจ มิว่าฝันกลางวันในความคิดหรือด้วยการอยู่อย่างไร้จุดหมาย เพราะการที่เราจำกัดตัวเองไว้นั้นก็ทำให้ใจเรามีรูรั่ว รู้สึกดีไม่พอหรือมีไม่พอ ด้วยเราไม่อาจนำศักยภาพในตัวเราออกมาใช้ได้เต็มที่และตกร่องเดิมๆ ของตนอย่างเหนื่อยหน่าย . ชีวิตมิเคยกักขังใครไว้เลย มีแต่เราเองที่ขังตนไว้ ใครเล่าจะปลดพันธนาการให้เราได้ หากเราไม่ก้าวออกอย่างเห็นคุณค่าในชีวิต ด้วยตนเอง . ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำให้เราเลิกฝันกลางวัน หรือเลิกใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยแล้วผลักดันตนเองสู่สิ่งที่ควรค่า โดยต่อเนื่องจากตอนที่ผ่านมาอีก 2 ข้อ หากผู้อ่านคนใดมีความคิดเห็นหรือคำแนะนำอื่นอันเป็นประโยชน์ต่อเรื่องนี้ก็สามารถแลกเปลี่ยนบอกได้ที่ช่องความคิดเห็น . 4 เรามีชีวิตอยู่ได้เพียงวันนี้เท่านั้น : เมื่อปล่อยวันเวลาให้ล่วงเลย ชีวิตก็เลื่อนลอย แล้วความสามารถหรือโอกาสที่มีก็ร่วงโรย สาเหตุหนึ่งคือการไม่ตระหนักเราทุกคนมีเวลาเท่ากัน คือมีวันนี้เท่านั้น . เพราะเมื่อวานนี้ก็ได้ล่วงลับไปแล้ว วันพรุ่งก็ยังมาไม่ถึง ทุกคนมีเวลาอันมีค่าแค่เวลาเดียว คือตอนนี้ในวันนี้ .… Continue reading 7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนที่สอง)

7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนแรก)

      7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนแรก) ชีวิตทุกคนมีคุณค่าที่ได้เกิดมา แต่บางคราบางช่วงเวลากลับเลื่อนลอยและลับเลือนอย่างว่างเปล่า เมื่อเราใช้เวลาอย่างสูญค่า หรือบางขณะยามใจรู้สึกว่างไร้ มีบางสิ่งที่หวังอยากได้ หวังให้เป็น หรือคิดคะนึงหวนหา ฝันกลางวันยามตื่นในใจ แต่กลับมิอาจเปลี่ยนแปลงหรือทำสิ่งใดให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน . เราทุกคนแม้แต่คนที่สุขสมหวังหรือผิดพลาดต่างก็มีความฝันกลางวันกันไม่มากก็น้อย ฝันกลางวันคือความคิดความหวังชั่วขณะในใจ และความฟุ้งซ่านกังวลใจต่างๆ อาจเป็นมโนภาพจินตนาการหรือความคิดเช่นว่า หากเป็นเช่นนั้นก็จะดีไม่น้อย หรือ ถ้าไม่…แล้วก็คง… . การฝันกลางวันหรือจะฝันกลางคืนไม่ใช่สิ่งเสียหาย แต่น่าเสียดายหากเราจะเพียงฝัน แต่มิได้ทำสิ่งใดให้สมคุณค่าเวลาที่ฝันถึง หรือปล่อยให้ความกลัวฉุดรั้งเราจากความสุขและคุณค่าที่เราพึงได้รับ . บทความนี้จะชวนเราแปรเปลี่ยนช่วงเวลาและพลังงานฝันกลางวันมาเป็นแรงผลักดันชีวิต ดังคำแนะนำทั้งเจ็ดข้อ หากคนใดมีข้อคิดหรือวิธีการแลกเปลี่ยนกันเพิ่มเติมก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามช่องทางที่สะดวก . 1 หยิบแก่นแท้ในฝัน แล้วนำมันมาใช้ : ทุกความฝันกลางวันต่างเป็นความฟุ้งซ่านของจิตที่หวังชดเชยหรือเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ ช่องว่างนั้นก็คือความต้องการที่ยังขาดการดูแล เช่น หากบางคนฝันถึงการได้เดินบนพรมของนางแบบ มีกล้องมากมายจับจ้อง ประกายแฟลสแวบวับ ความต้องการที่อยู่ลึกในใจก็คงเป็นการได้ถูกแลเห็นจากคนรอบข้าง ต้องการความชื่นชม และการนำเสน่ห์เฉพาะตัวของตนออกมาใช้ หากเราเข้าใจว่าในฝันกลางวันที่ฉายแวบในห้วงคำนึงสื่อถึงความต้องการใด เราก็เพียงแปรเปลี่ยนให้ความต้องการนั้นเป็นเป้าหมายที่เราจะดูแลในแต่ละวัน เราอาจไม่มีโอกาสเดินบนพรมนางแบบตอนนี้ แต่เราก็สามารถดูแลการแต่งกายตนให้ดี ใช้ความสามารถที่ตนมีทำสิ่งต่างๆ รอบตัวให้สำเร็จ อยู่กับคนที่เห็นคุณค่าในตัวเรา และทำสิ่งที่น่าชื่นชมอยู่เสมอ… Continue reading 7 วิธีเลิกฝันกลางวัน แล้วผลักดันชีวิต (ตอนแรก)