อย่าหนีแสงสว่างไปในเขาวงกต

บทความ “ไกด์โลกจิต” ตอน อย่าหนีแสงสว่างไปในเขาวงกต   ความกลัวทำให้เราหลับตา เราคิดไปเองว่าความทุกข์นั้นมืดดำ แท้จริงแล้วความทุกข์นั้นคือแสงสว่างที่เรามิกล้าเผชิญ เปลวแดดอาจทำให้เรารู้สึกอยากอยู่แต่ในร่มเงาอันปลอดภัย ทว่าต้นไม้กลับยืนหยัดขึ้นสู่แสง เป็นธรรมดาที่คนเรามักหนีความทุกข์ วิ่งหาร่มเงาพึ่งพิงหรือสร้างหลังคาคลุมตน ทั้งที่แท้จริงเราดั่งต้นไม้ และทุกข์นั้นคือแสงสว่าง เรากลัวร้อนหรือเผาไหม้จึงหลบเลี่ยงไป แต่ทุกข์นั้นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีชีวิตและเติบโต จากการให้คำปรึกษา สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคือหลายคนรู้สึกยากที่จะเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ตนเองทุกข์ มีคำว่ายากและเงื่อนไขมากมายที่จะกล่าวอ้างขึ้นเมื่อมาเห็นว่าปัญหาคืออะไรและพอมีทางแก้อย่างไร บางคนต้องการแสวงหาคำตอบมากกว่านั้น ต้องการดำดิ่งลงลึกซึ้งหรือหาคำอธิบายให้กับสิ่งที่กำลังเผชิญอย่างสำคัญเด่นชัด บางคนมั่นหมายกับคำตอบที่มีอยู่แล้วเป็นสมการอันซับซ้อนที่ยากจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ เราอาจพอสรุปได้ว่าจิตใจคนนั้นซับซ้อน แต่ก็ไม่เชิงจริงเสียทีเดียว ประเด็นสำคัญคือคนเรามักสร้างความซับซ้อนนั้นขึ้นมา ทำให้หัวใจเราเป็นเขาวงกตดีๆ หรือมีเงื่อนไขมากมายดังประตูซ่อนกล เราทำให้หัวใจเราซับซ้อนเพราะหวังปกป้องตัวตนเราจากความทุกข์ ตั้งใจให้ความทุกข์ที่เคยมีแตะไม่ถึงตัว วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตแห่งใจ หาตัวตนเราไม่พบ ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่เราปกป้องตัวเองเรา การปกป้องตัวเรานั้นมีคุณค่า แต่การหลบเลี่ยงความทุกข์ด้วยการสร้างเขาวงกตหรือหนีปัญหา ยิ่งซ้ำร้ายปัญหาและขัดขวางแสงสว่างมิให้มาหล่อเลี้ยงชีวิต เรากลัวแดดมากเกินไป กลัวแสงสว่างจะเผาไหม้ตัวเราทุกข์ตรม ทั้งที่ธรรมชาติของชีวิตมิอาจขาดความทุกข์เพื่อหล่อเลี้ยงตัวเรามิให้ประมาท เข้มแข็ง อ่อนน้อม และเข้าใจชีวิตอย่างที่เป็น ชีวิตเป็นเช่นนั้น หัวใจเราก็เป็นเช่นอย่างที่เป็น แต่ความกลัวภายในกลับหล่อหลอมเราเป็นเขาวงกตที่ซ่อนตัวเราเองไว้จากแสงสว่างและความเข้าใจตัวเราอย่างที่เป็นจริง ต้นไม้เพียงยอมรับตัวตนและชีวิตอย่างที่เป็น จึงเติบโตและหยั่งรากท่ามกลางฤดูกาลต่างๆ โดยมิต้องเสียแรงหลบหนีความทุกข์ใด ต้นไม้มิได้สร้างหลังคาหรือเขาวงกตจิตใจ เพียงเผชิญหน้ากับสายลม ฝนตก และแดดจ้าอย่างผ่าเผย ถ้าสายฝนดั่งความเศร้า โลกนี้ก็มีความเศร้าอยู่มากมาย แต่ต้นไม้ยังคงสอนคนในศาลาคนเศร้าเสมอว่า ชีวิตก็เพียงเท่านั้น ฤดูกาลฝนมาแล้วก็ลับหาย… Continue reading อย่าหนีแสงสว่างไปในเขาวงกต

เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง

บทความ “ไกด์โลกจิต” ตอน เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง   เราทุกคนต่างเหมือนดาวฤกษ์ เรามีแสงสว่างในตนเอง กล่าวคือ ทุกๆ คนต่างมีปัญญาและกำลังความสามารถซึ่งจะช่วยให้เราหาออกและคำตอบใดใดกับชีวิตได้ แต่เหตุใดเราจึงหลงลืมและละเลย แสงสว่างในตน หลายคนที่วิ่งไล่ไขว่คว้าหาแสงสว่างจากภายนอก ฉวยคว้าบุคคลหรือวัตถุเพื่อช่วยชูพลังใจ ให้มั่นใจให้รู้สึกมีค่า หลายคนเข้าออกการอบรมมากมายหลายหน เราได้มา สิ่งต่างๆ ที่ไขว่คว้าเพื่อหวังเติมพลังและแสงสว่าง รู้สึกเหมือนมีพลังมากมายในตอนต้น กลับแล้วเวลาผ่านเลยก็แห้งเหี่ยว หมดพลัง เบื่อหน่าย ไร้คุณค่า ดังว่าเรากำลังหลงทาง เที่ยวไล่แสงสว่างจากดาวดวงอื่น หมายมั่นให้ดาวตนนั้นสุกใส เราอาจเกาะกระแสแฟชั่น ยึดโยงเพจโซเชียลข่าวสารออนไลน์ เกาะติดการอบรมเทรนนิ่ง ฉวยเอาคุณค่าของสิ่งอื่นเข้ามาเป็นของตน เหมือนดังดวงดาวเอาตัวรับแสงจากดาวอื่น หลงลืมคุณค่าและความงามที่ตนเองมี ทั้งที่เราตางมีจิตใจเหมือนกัน มีจิตใจที่มีอำนาจจิต คิดปรุงแต่งและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ เหตุใดเราจึงขาดพลังและโหยหาสิ่งอื่นทดแทน แต่เหตุใดคนบางคนกลับยืนหยัดด้วยแสงสว่างของตนเองได้ ย้อนมองที่การโหยหาของตัวเรา เราอาจพยายามเป็นอะไรที่อาจไม่ใช่ตัวเราเลย เราอาจไขว่คว้าบางสิ่งมาทั้งที่รู้ว่ามันไม่ยั่งยืน จิตใจที่คิดถึงส่วนขาดไป มักเห็นแต่สิ่งที่ขาดนั้นจนลืมความดีหรือสิ่งที่ดีที่มีอยู่แล้ว  เพราะการให้คุณค่ากับสิ่งที่ขาดไป จึงละเลยคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ ความรู้สึกไม่พอใจ หรือโหยหาก็เกิดขึ้นตามมา บางทีเราก็รู้แล้วว่าตนเองมีแสงสว่างอยู่ภายใน มีปัญญา มีพลัง แต่เราขาดความแน่ใจว่ามันมีคุณค่ามากเพียงพอ หรือไม่กล้านำมันออกมาใช้ด้วยตัวเราเอง ย้อนมองที่การพึ่งพิงของตัวเรา เราพึ่งพาบางสิ่งมากเกินไปหรือไม่… Continue reading เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง