สิ่งที่ได้รับจาก “Self Hypnosis การโปรแกรมจิตตัวเอง” รุ่นที่สอง

 

สรุปการอบรม หลักสูตร “Self Hypnosis การโปรแกรมจิตตัวเอง” รุ่นที่สอง เมื่อวันที่ 20-21 และ 27-28 มกราคม 2567 ออนไลน์ทาง Zoom

 

(รวบรวมจากคำตอบผู้เรียน)

 

การพัฒนาตัวเอง/สิ่งที่ได้รับ

  • มีการจัดระเบียบความคิดมากขึ้น
  • พัฒนาสร้างสติที่ในชีวิตประจำวัน
  • ฝึกจินตนาการ
  • ฝึกลงมือทำทันที และฝึกหักห้ามใจและกายไม่ให้ขี้เกียจ
  • เปลี่ยนความรู้สึกเซ็ง เบื่อหน่าย ในการทำกิจวัตรเช่นการล้างจาน เป็นความสนุกสนาน และทำให้เสร็จเร็วขึ้น และมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
  • ฝึกการปล่อยวาง
  • ได้กลับมาอยู่กับตัวเองและลมหายใจ และตั้งสติในการทบทวนตัวเองเพื่อโปรแกรมจิตให้เราได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้และมองเห็นศักยภาพของตัวเอง
  • เห็นการเกิดและดับ ของความคิดตัวเอง จนโยงไปถึงความว่างและอนัตตาได้ด้วย
  • หลังจากทำโปรแกรมจิตแล้ว รู้สึกสดชื่นเหมือนได้ชาร์จพลัง
  • ปลดปล่อยความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในใจ และเล่าความในใจให้ครอบครัวฟัง
  • ทำให้มีความคิดที่จะกลับไปยังที่บ้าน ซึ่งนั่นอาจจะเป็นบ้านที่ตามหามาชั่วชีวิต
  • ได้พัฒนาความรู้ความสามารถทางด้านจิตของตัวเอง
  • สะกิดใจคำว่า “ช่องว่างระหว่างความคิด” เป็นสิ่งที่ท้าทาย รู้สึกสนุกกับการสังเกต พยายามรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในระหว่างช่องว่างตรงนั้น เพราะรู้สึกว่ามันมาแว้บเดียว แว้บไปแว้บมาตามยังไม่ทัน
  • เข้าใจตัวเองได้ดียิ่งขึ้นและปลดล็อคความรู้สึกบางอย่างได้
  • ก่อนเลือกคำโปรแกรมจิตนั้นทำให้มีเวลาทบทวนฟังเสียงตัวเอง ว่าตอนนี้ต้องการอะไร ต้องการจริงไหม ต้องการมากพอไหม สิ่งที่ต้องการถูกต้องไหม ฯ ทำให้ใคร่ครวญและฟังเสียงภายใน
  • ขณะทําโปรแกรมจิตบางกิจกรรมรู้สึกสะเทือนในใจ มีน้ำตาไหล
  • ประยุกต์ใช้การโปรแกรมจิตในชีวิตประจําวันเพื่อให้ใจอ่อนโยนขึ้น มีเมตตาขึ้น เพราะปกติใจแข็งมาก รู้สึกน้อย แต่พอได้ฝึกเรื่อยๆว่าเรา เป็นความอบอุ่น ใครใกล้เราจะสบายใจ มีความสุข รู้สึกใจผ่อนคลายลง เหมือนได้เตือนตัวเองว่าเราเป็นได้อย่างที่เราคิด มีสติ คิดแต่สิ่งที่ดี
  • เหมือนได้เจอโอเอซิสกลางทะเลทราย ได้ผ่อนคลาย พักผ่อนเเละบำรุงจิตให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง
  • ได้กลับมาบ้านภายในของตัวเราเองอีกครั้ง ได้รับพลังงานด้านบวกจากตนเอง เพื่อตนเอง
  • เหมือนการสร้างจุด Check-in สติ เเละ การชาร์ตพลังงานบวกให้กับตนเองในทุกๆวัน ซึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาก็พยายามทำอย่างต่อเนื่อง รู้สึกได้ว่ามันมีผลกับชีวิตจริงๆ เราใจเย็นเเละผ่อนคลายได้มากขึ้น
  • กลับมาละเอียด ชัดเจนกับอนาตยะ ทั้ง 6 การเลือกโต้ตอบสิ่งที่มา กระทบผัสสะ
  • ให้ทางเลือกกับใจตัวเอง เพื่อช่วยให้มีการตั้งคำถามท้าทาย ความคิด ความเคยชิน หรือนิยามเดิม ๆ ทำให้ขยายวงกว้างออกไป เพื่อให้เกิดมุมมอง และความเข้าใจใหม่ในชีวิต
  • ความโล่ง ความสบายใจ จากการทำ Guide Meditation
  • ทุกครั้งที่มาเรียนจะได้พลังบวกกลับไปทุกครั้ง เวลาเข้ากลุ่มรู้สึกว่า มีพลังร่วมกันในการที่จะพัฒนาจิตของเราให้มั่นใจและมีสติอยู่กับปัจจุบันและชอบเรื่องราวที่นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันภายในกลุ่ม ทำให้เราเห็นมุมมองในเรื่องต่างๆ ที่มกากขึ้นนำมาปรับใช้ได้
  • รู้สึกจิตใจเบา สบายใจได้ง่าย เพราะคิดได้ไปในทางบวกได้มากขึ้นค่ะ คล้ายๆ กับว่า มีพื้นที่ดีต่อใจมากเดิม และสามาถเห็นความสุขได้เร็วขึ้น
  • การมีมันตราว่า “ฉันมีทางเลือกเสมอ” ยิ่งทำให้ตัวเอง ปล่อยของร้อนได้เร็วกว่าเดิม เหมือนคล้ายๆว่า จิตสั่ง ให้เราเป็นผู้เลือก และเราก็อนุญาตให้ตัวเองเลือกที่เราสบายใจ
  • ตอนที่ได้เจอกับความเสียใจ ได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วว่า เราเปลี่ยนไปจริงๆ เพราะท่าทีต่อมันได้เปลี่ยนไปจริงๆ
  • ได้รับหลายเครื่องมือมาก และเได้ฝึกปฏิบัติจริงใน ซึ่งดีมากๆ และเชื่อว่าสามารถนำไปปฏิบัติ ให้เกิดผลดีมากขึ้น
  • ใจเบามากขึ้นมีสติ มีสมาธิมากขึ้น
  • ได้ปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจให้คนอื่นรับฟัง เยียวยาตัวเองและคนอื่น
  • มองเห็นสิ่งที่เราเคยเป็นและผ่านมันมาได้ และเห็นสิ่งที่เพื่อนร่วมคลาสที่เป็นกระจกส่องตัวเราในหลายเหตุการณ์ทำให้เข้าใจถึงการเป็นกระจกสะท้อนกันและการเป็นแสงสว่างส่องทางให้ปรับปรุงพัฒนาตนเองได้อย่างไร เพราะกิจกรรมในการอบรมพอปฎิบัติแล้วทำให้เราเข้าใจและเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
  • พัฒนาการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) ได้มากขึ้นและไวขึ้น มีสติมากขึ้น
  • กิจกรรม ลงลึกในห้วงสมุทรแห่งปัญญา ทำให้รับรู้ถึงครูบาอาจารย์ สิ่งที่ควรทำ คำถาม คำตอบ ที่โน้มน้าวให้ไปสืบค้นต่อ
  • ฝึกการให้นิยาม/ความหมายที่ทรงพลัง และปล่อยวางตัวตนไม่ยึดติดกับการให้ความหมาย การปล่อยวางความเชื่อเดิม
  • กิจกรรมเปิดจิตสู่แก่นแท้ของชีวิต ฝึกการรับรู้เท่าทันอารมณ์ของจิตและเป็นผู้สังเกต

 

บทเรียนและสิ่งที่นำไปใช้ต่อ

  • เทคนิคที่นำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
    เราสามารถเป็นนายของจิตและกายได้
    เราจะสุขหรือจะทุกข์เกิดจากความคิด แล้วมันก็ส่งผลไปที่ร่างกาย พอร่างกายห่อ ใจก็ห่อเหี่ยวตามไปด้วย ทุกอย่างส่งผลถึงกันแม้ในเรื่องเรียบๆง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน
    การใช้ชีวิตทุกวันที่ผ่านมาเราทำอย่างไม่มีสติกำกับแทบตลอดเวลา ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เราจะรู้สึกเหนื่อย และวุ่นวายไปกับสิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบความคิดและความรู้สึก
    สรรพสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้เป็นพลังงานที่ส่งถึงกันได้ คนที่เข้ามาในชีวิตเรา หรือการที่เราได้เกี่ยวข้องกับขีวิตใคร มันคือแรงดึงดูดของพลังงาน และเมื่อพลังงานมันปรับเปลี่ยนมันก็มีเหตุให้ต้องแยกย้าย
  • กล้าเลือกสิ่งที่ใช่ให้ใจตัวเอง
    ได้ฉุกคิดในบางมุมที่เหมือนกับเราและต่างกับเรา จากการได้รู้จักคนที่มีความสนใจเรื่องเดียวกัน/คล้ายคลึงกัน
    เหตุ-ปัจจัยที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตแต่ละวัน หรือเกิดขึ้นในกระบวนการโปรแกรมจิต(จินตนาการ) ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจริงๆกับเรา ซึ่งทุกการเกิดขึ้นของเหตุ-ปัจจัยนั้นล้วนมีผลต่อเราไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่เปิดเผยก็ซ่อนอยู่
    ควรสำรวมมากขึ้นต่อทุกการกระทำ จะได้ไม่สร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้ตนเองหรือผู้อื่นแล้วต้องกลับมาโปรแกรมจิตแก้ไข จะดีกว่าไหมถ้าเราพยายามลด ละ และปิดกั้นสิ่งกระทบที่ไม่ดีเหล่านั้นและสร้างประสบการณ์ที่ดีร่วมกันกับเพื่อนร่วมทุกข์ ทั้งนี้เหมือนเป็นการโปรแกรมจิตตัวเองและผู้อื่นไปในตัวและทุกๆขณะ
  • ได้ฟังประสบการณ์ของเพื่อนและได้แชร์ของตัวเอง ทําให้รู้ว่าจริงๆ ชีวิตเพื่อนสาหัสกว่าเราเยอะมาก และเขาเหล่านั้นก็เก่งมากที่ค่อยๆคลายปมออกไปเรื่อยๆ ลดความทุกข์ลงไป
    เปลี่ยนความคิดว่า นิยามคําว่ากตัญญูไม่จําเป็นต้องเหมือนกัน ซึ่งการที่เราทําอยู่นั้น ก็เป็นการกตัญญอยู่แล้ว ความกังวลก็ผ่อนเบาลง ‘
    ได้เชื่อมโยงกับผู้คนในคลาส เเละ คนที่เป็นโจทย์ของชีวิต เหมือนได้มองดูดาวเเต่ละดวงที่ส่องเเสงเเตกต่างกัน เเต่สุดท้ายเราก็อยู่บนฝืนฟ้าเดียวกัน ได้มองเห็น ได้เข้าใจ เเละปล่อยวาง
    การเลือกใช้คำพูดและกำกับจิตใจ ส่งผลยังร่างกาย ทำให้เกิดความตั้งมั่น
    เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ยึดอะไร ใจเราก็จะเบาจริงๆ
    “คำพูด“ มันทรงพลังต่อความคิดและความรู้สึกมาก
  • การเดิน หรือการวางตัวต่อสถานการณ์ที่กำลังเจอ ด้วยท่าทีที่มั่นใจ ทำให้เราทำได้มากกว่าที่เชื่อ
    การได้โปรแกรมจิตด้วย คำพูดและจินตนาการร่วม ผ่านอายตนะ ทั้ง 6 นี้ ทำให้มีโอกาสเข้าไปข้างในตัวเองลึกลงไปได้
    เครื่องมือมากมาย เป็นประโยชน์มาก และสามารถนำไปฝึกใช้กับตัวเอง ควรฝึกบ่อยๆ เหมือนออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง เราก็ต้องฝึกใจเราให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน
    การใช้ท่าทางต่างๆ ในแต่ละวัน เราก็ควรทำให้ร่างกายของเราได้รับพลังงานที่ดี อิริยาบถก็ต้องดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อส่งพลังดีให้กับคนที่เราพบเจอในแต่ละวัน
  • เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น แค่สั่งจิตตัวเรา หมั่นเช็คจิต จิตสามารถนำกายได้จริง
    สังเกตเห็นความโกรธเป็นตะกอนที่ถูกช้อนขึ้นมาตอนฝึกกิจกรรม การโฟกัสอย่างสมบูรณ์ ทำให้รับรู้ว่ายังมีอารมณ์นี้อยู่ ต้องฝึกต่อไป
  • มีเครื่องมือในการฝึกสติที่ทรงพลังเพิ่มขึ้นอีก 1 อย่าง
  • ฝึกสติในชีวิตประจำวันมากขึ้น
    ใช้การโปรแกรมจิตด้วยข้อความ Autosugestion ในกิจวัตรชีวิตประจำวัน
  • เปลี่ยนพลังงานที่ห่อเหี่ยว นับถอยหลังรอวันเกษียณแบบนี้ เป็นการเพิ่มพลังให้ตัวเอง ทุ่มเทกับการพัฒนาตัวเอง โปรแกรมจิตให้เรารักตัวเองและมองเห็นคุณค่าของตัวเองมากยิ่งๆขึ้นทุกวัน
  • ทำสมาธิ การกลับมาอยู่กับลมหายใจ เพื่อให้รู้เท่าทันการเกิดดับ เพื่อความสงบสุขของชีวิต
  • นำเทคนิคการเป็นนายจิตตัวเองไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ปักใจ : นั่งสมาธิทุกวัน มีสติ ตั้งมั่นกับสิ่งที่ทำอยู่จูงใจ : วางเป้าหมายแต่ละวันและทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ กวนใจ : ฝึกเปิดพื้นที่เล่นล้อ ย่อ-ขยายกับข้อความ ขัดใจ : สงบปากสงบใจเวลาเจอคนขับรถแย่ ๆ สับไก : ตอกย้ำ วางเงื่อนไข และให้นิยามว่า “พลังจิตที่ดีทำให้เราสื่อสารกับจักรวาลได้ดี อ่านไพ่ได้ดี” เราต้องนั่งสมาธิทุกวันเพื่อพัฒนาพลังจิตเราให้ “สะอาด สงบ สว่าง สดใส strong success”
  • ใช้โปรแกรมจิตในชีวิตประจําวัน ทําให้เรามีสติ คอยระลึกรู้และตอกย้า เลือกสิ่งดีๆใส่ลงไปในจิตใต้สํานึก
  • ตั้งใจว่าจะโปรแกรมจิตให้จิตใจอ่อนโยน ซาบซึ้งกับสิ่งดีงามที่เราได้รับในโลกนี้ ขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่ได้พบเจอ และให้เราได้ตัดสินใจว่าเราจะต้องพัฒนาจิตให้สูงขึ้นและมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่
  • นำเทคนิคการโปรเเกรมจิตที่อจ.สอนมาใช้อย่างสม่ำเสมอ
  • หมั่นฝึกฝน การนั่งสมาธิและ การมีสติ ใช้เทคนิค กวนใจ/ ขัดใจ / สับไก ที่ไม่คุ้นชิน เพิ่มมากขึ้น เพื่อกำกับสมองให้หลุดจากวงจรความคิดและการกระทำเดิมๆ รวมทั้งฝึกกำหนดนิยามใหม่ และ auto suggestions บ่อยๆ เพื่อสร้างร่องทางเดินใหม่ให้กับสมองและร่างกาย
  • กำกับดูแลการเกิดขึ้นของเสียงในหัว
  • อยากศึกษาต่อ คือ เรื่อง ระดับชั้นของตัวตนค่ะ อยากฝึกหรือเรียนรู้เพิ่ม เพื่อละสิ่งที่เป็นตัวยึด
    ตัวเอง
  • อัดเสียง การโปรแกรมจิตต่างๆ เอาไว้ แล้วฟังเสียงตัวเอง ทำตามเสียงตัวเอง ก่อนนอนทุกๆ วัน
    ทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กลายเป็นนิสัยต่อไป
  • อัดเสียง และเปิดฟัง ในขณะที่เราอยากฟังหรือมีเวลา หรือก่อนนอน เพื่อพัฒนาและฝึกจิตใจ ให้แข็งแรงมากขึ้นทุกวัน ได้ความใจเย็นลง มีสติ ปล่อยวางบางเรื่องตามความเหมาะสม ไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้อภัย วางใจ เป็นมิตรกับทุกคน
  • พยายามสะกดจิต(แบบเนียนๆ) ให้พวกเขานึกถึงสิ่งที่เค้าสามารถทำได้ มากกว่าสิ่งที่เค้าทำไม่ได้ อยากเป็นรอยยิ้มเล็กๆน้อยๆของพวกเค้า ความสุขก็เหมือนเทียนค่ะ ยิ่งส่งต่อยิ่งเพิ่มแสงสว่าง
    นำสิ่งที่เรียนรู้มากฝึกฝนอย่างผ่อนคลาย ให้รู้เท่าทันอารมณ์
  • โปรแกรมจิตตัวเองให้มุ่งสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย “ชีวิตของฉันคือ ความสำเร็จ และความสุขที่เลือกได้”
  • ฝึกการตื่นรู้และโปรแกรมจิตผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ฉันตื่นเช้าขึ้นมามีวันใหม่ ที่มีความมั่นใจ ออกกำลังกาย (เดิน-วิ่ง) ออกกำลังใจ (สวดมนต์ นั่งสมาธิ) ทุกวัน
  • ฝึกให้นิยาม ความหมาย เช่น จิตใต้สำนึกของฉันสามารถจดจำได้อย่างยอดเยี่ยม จิตใต้สำนึกของฉันคือพลังที่ไร้ขีดจำกัด
  • พัฒนาบุคลิกภาพ ปลูกฝังจิตตัวเองว่า “ตัวตนของฉันคือความเบิกบาน” “ฉันเกิดมาอยู่ในปัจจุบันที่มีสติ”

 

ครูโอเล่เสริมว่า :

“จิตคือสิ่งที่พัฒนาได้ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพแห่งการตื่นรู้ (โพธิวิสัย) ที่สามารถพัฒนาได้ เพราะทุกสิ่งไม่แน่นอน ทุกอย่างจึงเปลี่ยนแปลงได้”

 

 

ติดตามและสอบถามกิจกรรม

ได้ที่ไลน์ @khianpianchiwit
หรือทางอินบ็อก เพจเฟสบุ๊ค สถาบันธรรมวรรณศิลป์

 

อ่านรายละเอียดหลักสูตร โปรแกรมจิตตัวเอง