หายใจเข้า รับรู้ดูแลลมหายใจเข้า เปิดรับและยอมรับ ทุกการหายใจที่เกิดขึ้น ณ ปลายจมูกและลึกลงในร่างกาย การหายใจคือการเปิดรับ การมีสติคือการยอมรับ ใส่ใจที่ลมหายใจเข้า ยอมรับอย่างผู้รู้
หายใจออก อำลาลมหายใจในร่างกาย ผ่อนออก เร็วหรือช้า รับรู้ดูแล หายใจออกคือปล่อยวาง สติคือการยอมรับ ใส่ใจที่ลมหายใจออก ยอมรับอย่างผู้วางลงแล้ว
เมื่อเราจับปากกาเขียนอักษรถ้อยคำลง เรากำลังยอมรับความรู้สึกและความนึกคิดที่มีอยู่ในจิตใจ แผ่ลงวางเพื่อไตร่ตรอง เมื่อเราเจริญสติภาวนา จิตใจกำลังยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน เพื่อมีประสบการณ์และกำลังสำหรับการยอมรับทุกลมหายใจแห่งเหตุการณ์ชีวิต
เรามักมองว่า ความเป็นอิสระ หรือ การมีอิสระ คือการทะลุออกนอกกรอบ คือการแหกคอกหรือแหกกฎเงื่อนไข หรือคือการโบยบินไปแสนไกลจากที่ที่อยู่ ณ ตอนนี้ เราอาจไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน เราอาจรู้สึกว่าชีวิตตอนนี้จำกัดไม่ให้เราทำอะไรเพื่อตนเองบ้างเลย เราอาจรู้สึกว่าใครบางคนใกล้ตัวเอาแต่กดดันหรือบังคับตนให้ทำสิ่งต่างๆ ทั้งที่หัวใจปฏิเสธ เราอาจใฝ่หวังช่วงเวลาที่หลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ ที่จำกัดเราไว้แบบนี้ รอคอยหรือเฝ้าหาหนทางเป็นอิสระ
เมื่อใจเราคิดยึดว่า อิสระคือการไปจากที่นี่ เป็นการทะลุกรอบ หรือเป็นการโบยบินไปไกลแสนไกล เราย่อมผูกยึดติดตนเองไว้กับความไม่พอใจ กับการปฏิเสธ กับการทุกข์ตรม หรือกับความอยากใคร่มี กลับกลายเป็นว่าอิสระที่เราเชื่อมั่นกลายเป็นเชือกผูกเราไว้และปิดบังตามืดมน
หายใจเข้า สิ่งที่เกิดขึ้นหรือเป็นอยู่อาจทำให้เราทุกข์เหลือเกิน เหมือนไร้หนทางออก เหมือนไม่มีทางแก้ไข หรือสับสนไม่อาจคิดชัดเจน เราพยายามหาหนทางอยู่รอดหรือหลบลี้สิ่งเหล่านั้น จิตใจเราก็สร้างกลไกขึ้นมาปกป้องตนเอง เพื่อมิให้เผชิญหรือไปพ้นจากสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใจ
หายใจออก ใครคนหนึ่งอาจพูดทำร้ายน้ำใจเรา หรือวิจารณ์เจ็บปวดสั่นไหว เราอาจตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน นินทาลับหลัง หรือเลือกหลบเลี่ยงไม่สื่อสาร แต่เรามิได้ทบทวนตนเองอย่างจริงจังว่าคำวิจารณ์หรือคำพูดนั้นเป็นจริงอย่างไร ตัวเรามีส่วนต่างอย่างไร อีกฝ่ายมีเจตนาและเห็นตัวเราในแง่มุมใด เพราะเรากลัวและเจ็บปวด เราจึงเลือกหลบเลี่ยงที่จะยอมรับการถูกวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา
เหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่น่าเกิดชีวิตเราอาจเกิดขึ้นในวันหนึ่ง สิ่งที่ฝันมาตลอดถูกพังทลายสิ้นเชิง หัวใจถูกทำร้ายบอกช้ำ เราอาจเลือกกล้ำกลืนกักขังตัวเองอยู่เดียวดาย เราอาจเลือกบั่นทอนชีวิตด้วยการเสพติดบางสิ่งบางอย่าง เราอาจเลือกสู้ด้วยการลงมือทำงานอย่างบ้าคลั่ง ใช้ชีวิตสุดโต่งเพื่อหวังลืมหรือก้าวผ่าน
หัวใจเราอาจกำลังหนีอย่างไม่รู้ตัว แม้ท่าทีเราอาจเหมือนเป็นการสู้ก็ตาม การลืมตาวิ่งอย่างเห็นเส้นทางเบื้องหน้าชัดเจน ต่างจากการหลับตาวิ่ง
หายใจเข้า ด้วยใจที่เจ็บปวดและกลัว ทำให้เราหลับตาลง ไม่กล้ายอมรับและเผชิญหน้ากับความจริงที่มีอย่างจริงใจ เราบางคนหลับตาและสู้สุดชีวิต บั่นทอนร่างกายเพื่อพยายามหลบเลี่ยงความปวดร้าว เราบางคนหลับตาและหันหลังวิ่งหนี และเราบางคนหลับตาแล้วปล่อยให้สิ่งต่างๆ หรือใครต่างๆ ชักนำพาไป
หายใจออก การยอมรับคือการลืมตาขึ้น มองและพินิจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรู้ตัว ก่อนที่เราจะเลือกแก้ปัญหาหรือทำสิ่งใด หากเราปล่อยให้หัวใจหลบเลี่ยงความทุกข์ตามความเคยชินแล้ว เราก็คือคนหลับตาที่พยายามหนีหรือแก้ปัญหา ทั้งๆ ที่เราสามารถลืมตาขึ้นและมองสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นจริงได้
เมื่อเราหลับตาลง ไม่ยอมรับ จิตใจเราจะปรุงแต่งเหตุการณ์ให้เกินเลย เราอาจคิดเอาเองว่ามันเลวร้ายเช่นใด ทั้งที่อิทธิพลแง่ลบต่อชีวิตมีเพียงนิดน้อย เราอาจคิดตอบย้ำตัวเองว่าเห็นแก่ตัวหรือไร้ค่า ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นมีปัจจัยต่างๆ หนุนนำให้เกิดขึ้นมากมาย เราอาจหลับตาแล้วตีความเองว่าเหตุการณ์นี้มีผลเสียเหลือคณา แต่ความจริงแล้วอาจมีฟ้าหลังฝนที่สวยงามกว่าครั้งใดในชีวิตรออยู่
ยามเราจรดปากกา ให้ดวงตาเราเฝ้าดู ให้ดวงใจเราเฝ้ารู้ ติดตามการเขียนของเรา ยอมรับหัวใจในขณะนั้น ยอมรับอักษรที่ปรากฏบนกระดาษ งานเขียนเราอาจวกวน ถ้อยคำอาจซ้ำซาก ความคิดโครงเรื่องอาจตีบตัน เฝ้าดูแลอย่างยอมรับ พิจารณาความจริงที่เกิดขึ้น ไม่จมปลักในความคิดที่ตัดสิน ยอมรับความเกร็งและความกดดันหากมีอยู่ในใจหรือร่างกาย
ยอมรับแล้วเราเลือกได้ว่าจะทำเช่นใด เพียงรู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น หัวใจเรารู้สึกอย่างไร ความคิดปรุงแต่งไปอย่างไร แล้วเราทำอะไรได้บ้าง มีอะไรที่เราไม่ยอมทำ การยอมรับมิใช่การยอมจำนน หากเป็นการเผชิญหน้าอย่างแท้จริง เมื่อเราเห็นเบื้องหน้าหรือจุดที่เราอยู่อย่างชัดแจ้ง เราย่อมเห็นทางเลือกและโอกาสมากกว่าหันหน้าหนี
หายใจเข้า การเป็นอิสระไม่ใช่การหลบหนีจากความจริง แต่เกิดจากการยอมรับ เมื่อใจเรายอมรับความจริง เราย่อมไม่ถูกผูกยึดอยู่กับความไม่พอใจ ความอยากใคร่ และการปฏิเสธ ปัญญาภายในย่อมผลิงามและเป็นแสงนำทาง เราย่อมเห็นแง่งามของสิ่งที่เกิด หรือสิ่งที่เป็น เราย่อมเห็นโอกาส และมีทางเลือกที่หลากหลายซึ่งมีคุณค่าต่อชีวิตเราในปัจจุบัน
ผู้ต้องขังเรือนจำที่เข้าร่วมการอบรมการเขียนบำบัดกับสถาบันธรรมวรรณศิลป์ เล่าในสมุดบันทึกว่า เธอรู้สึกอยากตื่นนอนทุกเช้า รู้สึกมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นอยู่ มีเรื่องราวดีๆ ในแต่ละวัน มีมิตรภาพและความสวยงาม
ถ้อยคำในบันทึกนี้วิเศษนัก แม้ผู้ต้องอาศัยอยู่ภายใต้รั้วล้อมและกฎระเบียบที่มากมายกว่าคนทั่วไป กลับรู้สึกเห็นคุณค่าในการตื่นเช้าและมีชีวิตอยู่ ขณะเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และหลายบุคคลที่ฟังการรายงานผลการศึกษา ซึ่งมีชีวิตนอกเรือนจำ แทบไม่อยากตื่นเช้าและรู้สึกว่าชีวิตจำเจน่าเบื่อหน่าย
หายใจเข้า รั้วอาจล้อมร่างกายเราไว้ได้ กฎเกณฑ์อาจจำกัดการกระทำ ความอยากได้ใคร่มีอาจฉุดรั้งหัวใจเรา แต่สิ่งเหล่านี้มิได้กำหนดการเลือกของชีวิต เมื่อเรายอมรับข้อจำกัดต่างๆ และสิ่งที่มีอยู่อย่างเต็มใจ เราจะมองกำแพงในมุมใหม่ เราจะเห็นคุณค่าของการลงมือทำ เราจะเห็นช่องทางที่เป็นไปได้เสมอ
แทนที่เราจะตอกย้ำกับความทุกข์หรือข้อจำกัด ลองมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี สิ่งที่เราพลาดไป สิ่งที่เราพอทำได้ มองให้เห็นว่าธรรมชาติต้องการสอนอะไรกับชีวิต ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นคืออะไรบ้าง และความทุกข์ไหนที่เราตอกย้ำกับตนเอง
หายใจออก เมื่อเราไม่ยอมรับแล้ว เราอาจทำทุกวิถีทางตามที่คุ้นชินเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาหรือขจัดสิ่งที่เกิดขึ้นให้พ้นทางไป เราอาจมัวอ้อยอิ่งเสียดายอดีตอันงดงาม เสียดายความสัมพันธ์ที่ต้องแปรเปลี่ยนไป อาลัยกับเส้นทางที่กำลังจะก้าวล่วงเลย แม้หัวใจเปล่งเสียงว่าเส้นทางอันงอกงามรอคอยอยู่
ยอมรับเพื่อเลือกใหม่ การยอมคือการเคารพต่อความจริง อย่างที่เป็น มิใช่เพราะการคิดตอกย้ำ การรับคือการเต็มใจรับผลจากการเลือกที่ผ่านมา ยอมรับเพื่อวางลงและก้าวต่อไปอย่างเห็นคุณค่า
หายใจเข้า กลับมาลืมตาและหันหน้าสบตากับชีวิต รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่จำกัดตนเอง มองรอบด้านและให้เวลาดูแล เพียงยอมรับมิต้องปรุงแต่งให้เกินเลยหรือลดลง ทบทวนมิใช่ตอกย้ำ เข้าใจตัวเองมิใช่ซ้ำเติม ยอมรับเพื่อรู้ความจริง มิใช่ยอมแพ้หรือหลับตาสู้ แต่ก้าวอย่างเห็นคุณค่าในตนเองและชีวิต
หายใจออก สำหรับผู้ฝึกฝนการเขียนเพื่อการใคร่ครวญตนและพัฒนาชีวิต ให้ทุกการเขียนคือการยอมรับและเผชิญหน้ากับความจริง ให้หัวใจติดตามการเขียนทุกอักษร และรับฟังเสียงความคิด ความรู้สึก และปัญญา ให้การเขียนพาเราสบตากับตนเอง ผ่านการเขียนทบทวนหรือการเขียนบันทึกประจำวัน เขียนเพื่อตระหนัก ยอมรับ และวางลง
เราอาจลองใช้เทคนิควิธีการดังนี้ เพื่อทบทวนด้านในของตนเอง
เขียนไม่หยุดปากกา โดยใช้เวลา ๑๕ นาทีขึ้นไป โดยทุกบรรทัดให้เขียนเติมต่อจากประโยค ดังนี้ว่า “ฉันยอมรับว่า”
เมื่อเขียนบันทึกจบ ลองบันทึกทบทวนต่อท้าย ยอมรับกับการยอมรับ หายใจเข้าให้รับรู้ความรู้สึกและถ้อยคำต่างๆ หายใจออกให้ตระหนักความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน
เพียงยอมรับ อิสระได้เกิดขึ้นแล้ว
ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต
คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #13